คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐาน พยายามฆ่าผู้อื่นโดย ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 69 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปีศาลอุทธรณ์ลงโทษไม่เกินกำหนดดังกล่าว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ผู้ตายและผู้เสียหายดื่ม สุรามึนเมาแล้วเข้าไปในบ้านจำเลยซึ่ง แม้จะไม่มีอาวุธติด ตัว แต่ ก็ได้ ใช้ มือและเท้าทำร้ายหลานจำเลย จำเลยจึงใช้ อาวุธ ปืนสั้นยิงผู้ตายทางด้านหลัง 2 นัด และยิงผู้เสียหายอีก 1 นัด ผู้ตายกับผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน โดย เข้าไปคุกคาม จำเลยถึง ในบ้านเป็นการกระทำเยี่ยงอันธพาลทั้ง ผู้ตายและผู้เสียหายยังอยู่ในวัยหนุ่ม ส่วนจำเลยอยู่ในวัยชรา มีอายุ 62 ปีแล้วหากไม่ใช้ อาวุธปืน อาจไม่มีความว่องไวพอที่จะ ยับยั้งการคุกคามของผู้ตายและผู้เสียหายให้ทันการได้ หลังเกิดเหตุ จำเลยมอบเงิน ให้บิดาผู้ตายเป็นการบรรเทาความเสียหายถึง ความรับผิดชอบในการกระทำของตน จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะ รอการลงโทษให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,288, 91, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 และมาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 69เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 4 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 6 ปี คำรับและการนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยตามมาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 4 ปี ริบอาวุธปืน กระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง คืนซองปืนแก่เจ้าของคำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 2 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 80 และมาตรา 69จำคุก 1 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและข้อนำสืบชั้นศาลของจำเลยให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4เดือน และ 8 เดือน รวมจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยและให้รอการลงโทษไว้ ถือว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สำหรับกระทงความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 69 นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ลงโทษไม่เกินกำหนดนี้โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่แก้ไขแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานนี้มาด้วย เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนฎีกาโจทก์เกี่ยวกับกระทงความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี แต่ก็เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากกล่าวคือ นอกจากแก้โทษจำคุกให้เบาลงแล้ว ยังให้รอการลงโทษไว้ด้วยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ซึ่งศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยต่อไปว่า การลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงความผิดดังกล่าวมีเหตุสมควรให้รอการลงโทษไว้หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุ ผู้ตายและนายทองเย็นผู้เสียหาย ดื่มสุรามึนเมาแล้วเข้าไปในบ้านจำเลย ซึ่งแม้จะไม่มีอาวุธติดตัว แต่ก็ได้ใช้มือและเท้าทำร้ายนายเรืองยศหลานจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายทางด้านหลัง 2 นัด และยิงผู้เสียหายอีก 1 นัด ดังนี้เห็นว่า ผู้ตายกับผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน โดยเข้าไปคุกคามจำเลยถึงในบ้าน เป็นการกระทำเยี่ยงอันธพาล ทั้งนี้ผู้ตายและผู้เสียหายยังอยู่ในวัยหนุ่มส่วนจำเลยอยู่ในวัยชรา โดยมีอายุ 62 ปี แล้วหากไม่ใช้อาวุธปืน อาจไม่มีความว่องไวพอที่จะยับยั้งการคุกคามของผู้ตายและผู้เสียหายให้ทันการได้ หลังเกิดเหตุจำเลยยังมีแก่ใจมอบเงินให้บิดาผู้ตายเป็นการบรรเทาความเสียหายเป็นจำนวน 10,000บาท ซึ่งแม้จะไม่คุ้มกับความเสียหายที่บิดาผู้ตายได้รับ แต่ก็แสดงว่าจำเลยมีความรับผิดชอบในการกระทำของตนนับว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษ…”
พิพากษายืน.

Share