คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยโดยอาศัยเหตุที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและได้ใช้หนี้แทนจำเลยไป แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยโดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทนโดยอาศัยหลักลาภมิควรได้ ซึ่งเป็นการอาศัยเหตุต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เพิ่งจะรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้ เมื่อศาลพิพากษาในคดีก่อนว่าสัญญาที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยนั้นไม่ผูกพันโจทก์ อายุความ 1 ปีจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีก่อน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2492)
การชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407นั้น ต้องถือหลักว่ารู้หรือไม่รู้ตามความรู้เห็นของผู้ชำระเป็นประมาณ ไม่ถือเอาผลในกฎหมายว่ามีความผูกพันกันอยู่จริงหรือไม่เป็นเกณฑ์ เพียงแต่ผู้ชำระสำคัญผิดว่าตนมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้นั้น แม้ตามกฎหมายผู้ชำระจะไม่ต้องผูกพันก็จะถือว่าผู้ชำระรู้อยู่แล้วไม่ได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิด โจทก์ก็ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 409

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยในการกู้ยืมเงินจากบริษัท ว.ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงต้องชำระแทนโดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทนตามสัญญาค้ำประกัน ซึ่งความจริงโจทก์ไม่มีหน้าที่ชำระ โจทก์ไม่อาจเรียกเงินคืนจากบริษัท ว. ได้ เพราะบริษัท ว.ได้ลบล้างหลักฐานแห่งหนี้ของจำเลยจนหมดสิ้นแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยไม่เคยให้โจทก์ชำระหนี้แทนโจทก์มิได้สำคัญผิดในการชำระหนี้รายนี้ เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยโดยมิได้สำคัญผิดพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยโดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและได้ชำระหนี้ของจำเลยไปโดยอาศัยหลักค้ำประกันแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยโดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทนโดยอาศัยหลักลาภมิควรได้ซึ่งเป็นการอาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ส่วนปัญหาเรื่องอายุความว่าจะนับอายุความ 1 ปี ตั้งแต่วันที่โจทก์ชำระหนี้หรือนับแต่วันที่ศาลพิพากษาในคดีก่อนว่าสัญญาที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยนั้นไม่ผูกพันโจทก์ เห็นว่าต้องนับแต่วันที่ศาลพิพากษาในคดีก่อนซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนในฐานลาภมิควรได้ เพราะก่อนวันดังกล่าวโจทก์ยังมิอาจทราบได้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนในฐานลาภมิควรได้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ปัญหาสุดท้ายคือโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิดหรือไม่เห็นว่า การชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 นั้นต้องถือหลักว่ารู้หรือไม่รู้ตามความรู้เห็นของผู้ชำระเป็นประมาณ ไม่ถือเอาผลในกฎหมายว่ามีความผูกพันกันอยู่จริงหรือไม่เป็นเกณฑ์ เพียงแต่ผู้ชำระสำคัญผิดว่าตนมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้นั้น แม้ตามกฎหมายผู้ชำระจะไม่ต้องผูกพัน ก็จะถือว่าผู้ชำระรู้อยู่แล้วไม่ได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิด โจทก์ก็ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 409

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share