คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมซึ่งจำเลยฟ้องโจทก์มีประเด็นข้อพิพาทว่า การประเมินภาษีอากรของโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ และโจทก์ที่ 1 มีหน้าที่ต้องคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารและชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยหรือไม่ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยนี้มีประเด็นว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรเพิ่มเติมจากที่โจทก์ได้รับชำระจากจำเลยและจากธนาคารผู้ค้ำประกันเพียงใดหรือไม่ประเด็นในคดีทั้งสองแตกต่างกัน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามที่บัญญัติให้จำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้นั้น มิได้บังคับให้จำเลยต้องฟ้องแย้งมาในคำให้การเสมอไป แต่เป็นบทบัญญัติที่ให้จำเลยเลือกฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ หรือจะฟ้องเป็นคดีใหม่ก็ได้ตามแต่จำเลยจะพิจารณาเห็นสมควร ดังนั้นการที่โจทก์มิได้ฟ้องแย้งมาในคำให้การคดีก่อน หากแต่ได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมายศุลกากรและจัดเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแทนโจทก์ที่ ๒ จำเลยนำหินอ่อนที่ตกแต่งแล้วเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่อโจทก์ที่ ๑ ว่าเป็นหินอ่อนที่ยังมิได้ตกแต่ง ซึ่งเสียภาษีอากรน้อยกว่า โจทก์ที่ ๑ ได้ให้จำเลยวางประกันและรับสินค้าไปได้ ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ได้ตรวจวิเคราะห์แล้วปรากฏว่าเป็นหินอ่อนที่ตกแต่งแล้ว ได้ให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระภาษีอากรที่ยังขาด แต่ยังไม่ครบ ขอให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรจำนวน ๑,๑๘๗,๕๒๐.๘๗ บาท และเงินเพิ่ม
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนการประเมินพิกัดอัตราอากรขาเข้าสินค้าหินอ่อนและให้โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคาร คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ หากโจทก์ทั้งสองมีสิทธิจะเรียกภาษีอากรที่ยังขาดก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องฟ้องแย้งเข้ามาในคดีนั้โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ โจทก์เก็บอากรขาเข้าตามหนังสือค้ำประกันแล้ว และจำเลยชำระครบถ้วนตามคำประเมินของโจทก์แล้ว จำเลยไม่มีหนี้ภาษีอากรต้องชำระให้โจทก์อีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๔ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ แต่หินอ่อนพิพาทถือไม่ได้ว่าเป็นหินอ่อนที่ตกแต่งแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองนี้มีประเด็นว่าการประเมินภาษีอากรของโจทก์ที่ ๑ ชอบหรือไม่ โจทก์ที่ ๑ มีหน้าที่ต้องคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารและชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยหรือไม่ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลชำระภาษีอากรเพิ่มเติมจากที่โจทก์ได้รับชำระจากจำเลยและจากธนาคารผู้ค้ำประกันเพียงใดหรือไม่ เห็นได้ว่าประเด็นในคดีนี้กับคดีเดิมแตกต่างกัน การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว การที่โจทก์มิได้ฟ้องแย้งมาในคดีเดิมแต่กลับมาฟ้องคดีนี้ ก็ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสาม ที่บัญญัตให้จำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้นั้นมิได้บังคับให้จำเลยต้องฟ้องแย้งมาในคำให้การเสมอไป หากแต่เป็นบทบัญญัติให้จำเลยเลือกจะฟ้องแย้งมาในคำให้การนี้ได้ หรือจะฟ้องเป็นคดีใหม่ก็ได้ ตามแต่จำเลยจะพิจารณาเห็นสมควรและศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าหินอ่อนพิพาทเป็นหินอ่อนที่ตกแต่งมาแล้ว
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรที่ยังขาดตามที่โจทก์ฟ้อง.

Share