คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2545/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการเรียกให้ชำระหนี้อันเกิดแต่การผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน ที่จำเลยนำเช็คที่ ธ. เป็นผู้สั่งจ่ายมาขายลดกับโจทก์ ส่วนมูลหนี้ในคดีที่โจทก์ฟ้อง ธ. เป็นการเรียกให้ชำระหนี้ตามเช็คในฐานะผู้สั่งจ่าย อันเป็นนิติกรรมคนละประเภท ซึ่งความรับผิดของจำเลยต้องเป็นไปตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์นำคดีไปฟ้อง ธ. ต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดย ธ. ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ การที่ ธ. โดยจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบจำนวนแล้ว มีผลเพียงทำให้ความรับผิดตามเช็คในคดีที่ ธ. ถูกโจทก์ฟ้องระงับสิ้นไปเท่านั้น แต่ในส่วนสัญญาขายลดตั๋วเงิน ในการชำหนี้โจทก์ชอบที่จะนำเงินที่ได้รับชำระหนี้แต่ละครั้งไปชำระดอกเบี้ยที่คงค้างก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำไปหักชำระเงินต้นที่ค้างชำระในแต่ละคราวไปตามป.พ.พ. มาตรา 329 วรรคแรก การชำระหนี้ตามเช็คจึงไม่ทำให้หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินระงับสิ้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 และวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 จำเลยได้ทำคำขอวงเงินขายลดตั๋วเงินกับโจทก์ สาขาสันกำแพง วงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 592 และ 516 ตำบลจองคำ อำเภอเมือง แม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกัน มีข้อตกลงว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยินยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ ต่อมาวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 จำเลยนำเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านหนองประทีปเลขที่ 4660763 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2540 จำนวนเงิน 500,000 บาท มาขายลดให้แก่โจทก์ โดยคิดส่วนลดในอัตราเบี้ยร้อยละ 13.50 ต่อปี และวันที่ 14 กรกฎาคม 2540 นำเช็คธนาคารเดียวกันเลขที่ 4660764 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2540 จำนวนเงิน 500,000 บาท มาขายลดให้แก่โจทก์ โดยคิดส่วนลดในอัตราร้อยละ 13.50 ต่อปี มีข้อตกลงว่า หากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ให้ถือว่าจำเลยผิดนัดทั้งหมดและยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศของโจทก์ เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาจำเลยมาผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วน ปรากฏว่า ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2543 จำเลยคงค้างต้นเงิน 155,601.95 บาท และดอกเบี้ย 13,009.17 บาท โจทก์จึงต้องรับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 204,324.96 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 204,324.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 155,601.95 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า เช็คที่จำเลยนำไปขายลดให้แก่โจทก์ทั้งสองฉบับลงลายมือชื่อนายธานีเป็นผู้สั่งจ่าย โจทก์นำคดีไปฟ้องนายธานีต่อศาลชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1277/2542 ซึ่งมีการชำระเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วนงวดสุดท้าย เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2543 มูลหนี้ดังกล่าวจึงเป็นมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ และจำเลยไม่มีหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 1,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยนำเช็ค 2 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 500,000 บาท รวม 1,000,000 บาท มาขายลดแก่โจทก์ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและเช็คเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 ต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์นำคดีไปฟ้องนายธานีผู้สั่งจ่ายเช็คดังกล่าว ต่อมาโจทก์และนายธานีทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ตามสัญญาประนีประนอมยอมและคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมาย ล.2 นายธานีโดยจำเลยผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การชำระหนี้ตามเช็คทำให้หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินระงับสิ้นไปหรือไม่ เห็นว่า มูลหนี้ในคดีนี้เป็นการเรียกให้ชำระหนี้อันเกิดแต่การผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน ส่วนมูลหนี้ในคดีที่โจทก์ฟ้องนายธานีเป็นการเรียกให้ชำระหนี้ตามเช็คในฐานะผู้สั่งจ่าย อันเป็นนิติกรรมคนละประเภท ซึ่งความรับผิดของจำเลยต้องเป็นไปตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์นำคดีไปฟ้องนายธานี ต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยนายธานีผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ การที่นายธานีโดยจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบจำนวนแล้ว มีผลเพียงทำให้ความรับผิดตามเช็คในคดีที่นายธานีถูกโจทก์ฟ้องระงับสิ้นไปเท่านั้น แต่ในส่วนสัญญาขายลดตั๋วเงิน ในการชำระหนี้โจทก์ชอบที่จะนำเงินที่ได้รับชำระแต่ละครั้งไปชำระดอกเบี้ยที่คงค้างก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำไปหักชำระเงินต้นที่ค้างชำระในแต่ละคราวไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคแรก การชำระหนี้ตามเช็คจึงไม่ทำให้หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินระงับสิ้นไป ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเมื่อมีการชำระหนี้ตามเช็คครบถ้วนแล้วจึงไม่มีต้นเงินคงเหลือให้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาขายลดตั๋วเงินอีก ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด ปัญหาข้อนี้ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย แต่คู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานเสร็จแล้ว จึงเห็นควรวินิจฉัยไปเสียโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก่อน ในข้อนี้โจทก์นำสืบว่านายธานีนำเงินมาชำระตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2543 จำนวน 61,675.17 บาท โจทก์นำไปหักชำระหนี้ในส่วนสัญญาขายลดตั๋วเงินแล้ว ยังคงมีหนี้ค้างชำระถึงวันดังกล่าวคิดเป็นต้นเงิน 155,601.95 บาท และดอกเบี้ย 13,009.17 บาท รวมเป็นเงิน 168,611.12 บาท ตามรายการบัญชีเงินกู้เอกสารหมาย จ.13 ซึ่งจำเลยไม่นำสืบโต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยังมีหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ตามจำนวนเงินดังกล่ว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 168,611.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 155,601.95 บาท นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 48,723.01 บาท หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท

Share