คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543-2547/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยกับพวกอีกหลายคนร่วมกันเล่นแชร์ เช็คพิพาทจำเลยออกให้ จ. หัวหน้าวงแชร์โดยมีมูลหนี้เนื่องในการเล่นแชร์โดยจำเลยประมูลแชร์ได้ ต่อมาโจทก์ได้เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยสุจริต จำเลยย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าโจทก์ทรงเช็คโดยไม่สุจริต แต่จำเลยก็มิได้กล่าวถึงเหตุที่อ้างว่าไม่สุจริตอย่างใด จึงไม่มีรายละเอียดที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ได้ และแม้จำเลยจะต่อสู้ว่า จ. รับเอาเช็คพิพาทจากจำเลย แล้วสลักหลังเช็คนำไปมอบให้โจทก์และลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูล แต่ยังมิได้ชำระค่าแชร์แก่จำเลยผู้ประมูลแชร์ได้ก็ตาม จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นต่อสู้ให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้ เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจาก จ. โดยคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยจึงไม่อาจอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับผู้อื่นที่จำเลยออกเช็คให้มาเป็นข้อต่อสู้ให้พ้นความรับผิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ดังนั้นถึงแม้จะให้สืบพยานต่อไป ก็ไม่อาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจึงเป็นการชอบแล้ว
การให้งดสืบพยานนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งตามควรแก่กรณีเป็นเรื่องๆ ไป ถ้าข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ก็ไม่จำต้องนำสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก ศาลมีอำนาจสั่งงดสืบพยานได้ทั้งนี้ก็เพื่อให้คดีได้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องจำเลยมีใจความว่า โจทก์แต่ละสำนวนเป็นผู้ทรงเช็คคนละฉบับ เช็คแต่ละฉบับ จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ฉบับละ 5,000 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าแชร์เปียหวยที่โจทก์ทั้งหมด รวมทั้งจำเลยและผู้อื่นอีก 19 คน ร่วมกันเล่นแชร์โดยมีนายจงศักดิ์เป็นนายวง เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์แต่ละสำนวนได้นำไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยแจ้งว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามเช็คให้โจทก์สำนวนละ 5,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

จำเลยให้การว่า โจทก์แต่ละสำนวนมิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายและเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ได้เช็คมาโดยไม่สุจริต เพราะเช็คเหล่านี้จำเลยออกให้แก่นายจงศักดิ์หัวหน้าวงแชร์ในฐานะที่จำเลยประมูลแชร์ได้นายจงศักดิ์จะต้องให้เงินจำเลย 87,762 บาท แต่นางจงศักดิ์ให้เงินจำเลยเพียง49,078 บาท ที่เหลืออีก 38,684 บาทออกเช็คให้ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยจึงไม่ได้รับเงิน จำเลยถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อนายวงแชร์ไม่ชำระเงินให้จำเลย จำเลยก็ไม่ต้องชำระหนี้ค่าแชร์อีกต่อไป และตามที่โจทก์อ้างว่าแชร์ล้มเลิกแล้วนั้น คู่กรณีย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม คือโจทก์ต้องไปเรียกร้องเอาจากนายวงแชร์ จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินให้โจทก์ เพราะจำเลยมิได้รับเงินจากโจทก์ ประกอบกับนายจงศักดิ์นายวงแชร์ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าแชร์จากจำเลยอีก ในการประมูลแชร์นั้นโจทก์ได้ดอกเบี้ยไปแล้ว และจำเลยมิได้ผิดนัด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทุกสำนวนเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแทนจำเลย

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้น จำเลยคัดค้าน

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์สำนวนละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2519 สำหรับโจทก์สำนวนที่ 1 สำนวนที่ 3และสำนวนที่ 5 กับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2519 สำหรับโจทก์สำนวนที่ 4 จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทุกสำนวนโดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 100 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ ศาลน่าจะต้องพิจารณาต่อไปอีก โดยต้องพิจารณาข้อสำคัญแห่งคดีดังที่ ศาลได้กำหนดประเด็นนำสืบไว้แล้ว เช่นโจทก์ได้เช็คมาโดยไม่สุจริตหรือไม่ เช็คดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ใช้หรือไม่ จำเลยมีสิทธิระงับการใช้เงินตามเช็คหรือไม่เพราะคดีนี้หากมิได้ดำเนินการพิจารณาต่อไป ประเด็นสำคัญแห่งคดีจะไม่ได้ความชัดพอเพียงที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานตามประเด็นที่กำหนดไว้แล้วและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไปนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการให้งดสืบพยานนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งตามควรแก่กรณีเป็นเรื่อง ๆไป ถ้าข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ก็ไม่จำต้องนำสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก ศาลมีอำนาจสั่งงดสืบพยานได้ทั้งนี้ก็เพื่อให้คดีได้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรมคดีทั้งห้าสำนวนนี้ได้ความว่าโจทก์และจำเลยกับพวกอีกหลายคนร่วมกันเล่นแชร์ เช็คพิพาททั้งห้าฉบับจำเลยออกให้นายจงศักดิ์หัวหน้าวงแชร์เนื่องในการเล่นแชร์ โดยจำเลยประมูลแชร์ได้ และได้รับเงินจากนายจงศักดิ์เป็นเงินสด 49,078 บาท กับเช็คอีกเป็นจำนวน 38,684 บาท ต่อมาโจทก์ได้เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยสุจริต แม้จำเลยจะต่อสู้คดีว่า โจทก์ทรงเช็คโดยไม่สุจริต แต่จำเลยก็มิได้กล่าวถึงเหตุที่อ้างว่าไม่สุจริตอย่างใด จึงไม่มีรายละเอียดที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ได้ ส่วนในประเด็นเรื่องมูลหนี้ที่ออกเช็คก็ได้ความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้นายจงศักดิ์ตามข้อตกลงในการเล่นแชร์ และจำเลยได้รับเงินจากนายจงศักดิไปแล้วเป็นเงินสดและเช็ค คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยมีมูลหนี้ต่อกัน ที่จำเลยฎีกาว่าศาลจะต้องสืบพยานด้วยว่าแชร์วงนี้มีสัญญากันอย่างไร เช็คในการเล่นแชร์นี้ออกให้กันในกรณีใดมีเงื่อนไขหรือไม่ประการใด หัวหน้าวงจะต้องรับผิดต่อลูกวงผู้ประมูลแชร์ได้และจะต้องรับผิดต่อลูกวงผู้ยังประมูลแชร์ไม่ได้อย่างไรเพียงใด นายจงศักดิ์นายวงแชร์ได้ชำระค่าแชร์แก่จำเลยไม่ครบตามที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ เมื่อยังมิได้สืบพยานให้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวก็น่าจะยังนำข้อกฎหมายมาปรับกับคดีหาได้ไม่นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าถึงแม้จะให้นำสืบกันต่อไป ก็ไม่อาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้นายจงศักดิ์เนื่องในการเล่นแชร์ และต่อมาโจทก์ได้เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทนั้นโดยสุจริต จำเลยก็ต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในประเด็นดังกล่าวต่อไป สำหรับประเด็นที่ว่าจำเลยมีอำนาจสั่งระงับการใช้เงินตามเช็คหรือไม่นั้นจำเลยฎีกาว่ากรณีแห่งคดีนี้น่าจะเป็นว่านายจงศักดิ์รับเอาเช็คพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้ประมูลแชร์ได้ แล้วสลักหลังเช็คนำไปมอบให้โจทก์และลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูล นายจงศักดิ์รับเอาเงินสดหรือเช็คจากโจทก์และจากลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูลมาคนละสี่พันบาทเศษ เช็คที่รับมาเป็นเช็คที่ขึ้นเงินได้ทั้งสิ้น เมื่อรับมาแล้วก็ไปขึ้นเงินเอาเสียเองแทนที่จะชำระค่าแชร์แก่จำเลย การชำระค่าแชร์ตามสิทธิของจำเลยผู้ประมูลแชร์ได้ นายจงศักดิ์ก็ออกเช็คของตนหรือสลักหลังเช็คของบุคคลอื่นล้วนแต่เป็นเช็คไม่มีเงินส่งมอบแก่จำเลยและฝ่ายโจทก์ก็ทราบดีว่าแม้นายจงศักดิ์จะได้เก็บเงินจากโจทก์และจากลูกวงที่ยังไม่ประมูลไปแล้วก็ตาม แต่นายจงศักดิ์ก็มิได้ชำระค่าแชร์แก่จำเลยผู้ประมูลแชร์ได้ โจทก์กลับถือว่าเมื่อเช็คจำเลยอยู่ในมือต้องบังคับเอาเงินตามเช็คจากจำเลย ซึ่งอาจจะเป็นการชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยทำนองครองธรรมนั้น ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นต่อสู้ให้จำเลยพ้นความรับผิดไปไม่ได้ เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจากนายจงศักดิ์ โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย ฉะนั้น จำเลยจึงไม่อาจอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับผู้อื่นที่จำเลยออกเช็คให้มาเป็นข้อต่อสู้ให้พ้นความรับผิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในประเด็นข้อนี้เช่นกัน

สรุปแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในสำนวนทั้งห้าสำนวนเท่าที่ได้ความว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วถึงแม้จะให้นำสืบต่อไป ก็ไม่อาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปได้

พิพากษายืน

Share