แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องด้วยวาจา ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกข้อความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานหาจำต้องบันทึกไว้โดย ละเอียดไม่และก่อนบันทึกศาลอาจสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกระทำความผิดแต่ จะบันทึกไว้เฉพาะ ข้อความสำคัญ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาเท่านั้น ศาลบันทึกข้อความแห่งฟ้องได้ความว่า ระหว่างวันที่ 30 เมษายน2528 เวลากลางคืนถึง วันที่ 30 เมษายน 2529 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกันจำเลยซึ่งได้ รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคาร ได้ ปลูกสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้ รับอนุญาต แม้ไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งจากเจ้าพนักงานให้จำเลยทราบว่าก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนหรือให้จัดการแก้ไข จำเลยก็ยังคงฝ่าฝืนตลอด เวลา เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตาม ฟ้อง แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาตาม ฟ้องแล้วหาทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งฉบับ แรกให้จำเลยรื้อถอนการก่อสร้างที่ผิดจากแบบแปลนภายใน 30 วัน จำเลยทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2529 ครบกำหนด 30 วัน วันที่ 26 เมษายน 2529แต่ จำเลยมิได้ดำเนินการ ถือ ว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชให้ปลูกสร้างอาคารที่พักอาศัย 1 หลังได้ปลูกสร้างอาคารให้ผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 31, 65
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 31, 65 จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 1,000 บาทและปรับอีกวันละ 500 บาท นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง หากไม่ชำระให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยวันละ 500 บาทตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดวันใด และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามแบบแปลนวันใด โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2528เวลากลางวัน ถึงวันที่ 30 เมษายน 2529 เวลากลางวันต่อเนื่องกันเช่นนี้ จำเลยอาจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตในวันที่ 30 เมษายน 2529 ก็ได้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จะลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันไม่ได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานหาจำต้องบันทึกไว้โดยละเอียดไม่ และก่อนบันทึกฟ้องศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกระทำความผิดได้ แต่ก็จะบันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น เมื่อพิจารณาใจความที่ศาลบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ประกอบกับบันทึกการฟ้องด้วยวาจาที่โจทก์ส่งต่อศาลแล้วได้ความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 30เมษายน 2528 เวลากลางคืนถึงวันที่ 30 เมษายน 2529 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยซึ่งได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชให้ปลูกสร้างอาคารที่พักอาศัย 1 หลังได้ปลูกสร้างอาคารให้ผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ดังนั้นแม้จะไม่ปรากฏชัดว่ามีคำสั่งจากเจ้าพนักงานแจ้งให้จำเลยทราบว่าก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหรือให้จัดการแก้ไขจำเลยก็ยังคงฝ่าฝืนอยู่ตลอดเวลา เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยย่อมเข้าใจข้อหาตามฟ้องแล้ว มิได้หลงข้อต่อสู้ประการใด จึงหาทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า หากศาลฎีกาฟังว่าจำเลยต้องถูกปรับเป็นรายวันในความผิดดังกล่าว จำเลยเห็นว่าจำเลยควรเริ่มถูกปรับเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นแจ้งให้จำเลยรื้อถอนหน้าต่างที่สร้างผิดแบบแปลนครั้งหลังสุดนั้น เห็นว่าคดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามเอกสารในสำนวนการสอบสวนว่านายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งฉบับแรกลงวันที่ 26 มีนาคม 2529 ให้จำเลยรื้อถอนหน้าต่างด้านข้างอาคารชั้นล่างและชั้นบนทางด้านทิศเหนือของที่ดินซึ่งผิดจากแบบแปลนโดยกำหนดให้เสร็จภายใน 30 วัน จำเลยได้รับทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2529 ครบกำหนด 30 วันในวันที่ 26เมษายน 2529 แต่จำเลยมิได้ดำเนินการตามคำสั่ง ถือได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันวันละ 500 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 65 วรรคสอง โดยให้นับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2529จึงเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษในส่วนนี้ โดยมิได้ลดโทษให้เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพนั้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยวันละ 250 บาท นับแต่วันที่30 เมษายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.