คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนซึ่งโจทก์ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ 1ร้องคัดค้านนั้น มีประเด็นพิพาทกันเพียงว่า มีความจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดกและโจทก์สมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ส่วนทรัพย์มรดกของ อ. มีอะไรบ้าง เพียงใด ไม่ได้เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีโดยตรง แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่าทรัพย์พิพาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องซึ่งรวมทั้งทรัพย์พิพาทในคดีนี้ได้มาระหว่างที่ อ. เป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสินสมรสตามกฎหมาย ก็ถือไม่ได้ว่าศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์พิพาทว่าเป็นสินสมรสระหว่าง อ. กับจำเลยที่ 1 อันจะต้องผูกพันจำเลยที่ 1 ในคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของนายอุทัย เพชรเฟื่อง แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอุทัย จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายอุทัยกับจำเลยที่ 1 นายอุทัยได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่โจทก์และให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายอุทัยจำเลยไม่แบ่งทรัพย์มรดกของนายอุทัยให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินทุกแปลงแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินที่ได้แก่โจทก์ตามส่วน หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าขายบ้านพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เป็นเงิน 800,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 525,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 72727 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์หนึ่งในสี่ส่วน ให้จำเลยที่ 1แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 16265 ที่ดินโฉนดเลขที่ 9459 ที่ดินโฉนดเลขที่ 15527 และที่ดินไม่ทราบเลขที่โฉนดเนื้อที่ประมาณ 37 ไร่ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม หรือไม่อาจจะทำได้หรือกระทำแล้วเสียหายมาก ให้ดำเนินการขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง หรือขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินที่ได้ให้แก่โจทก์ตามส่วนให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 525,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2534จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 15527 และที่ดินไม่ทราบเลขโฉนดเนื้อที่ประมาณ 37 ไร่ กับที่ดินไม่ทราบโฉนดเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา พร้อมบ้านโบราณ ทั้งสามอันดับไม่ใช่สินสมรสของนายอุทัยผู้ตายที่จะตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับนายอุทัยเพชรเฟื่อง มาตั้งแต่ปี 2526 แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอุทัย จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 กับนายอุทัย เมื่อปี 2532 นายอุทัยถึงแก่กรรมได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมทั้งหมดให้โจทก์และให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายอุทัย จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ตามคดีหมายเลขแดงที่ 9926/2534ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด ทรัพย์บางรายที่ระบุไว้ในพินัยกรรมของนายอุทัยเป็นที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแล้ว ปัญหาวินิจฉัยว่า แม้ในคดีก่อนซึ่งโจทก์ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ 1ร้องคัดค้านนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่า ทรัพย์พิพาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องซึ่งรวมทั้งทรัพย์พิพาทในคดีนี้ด้วยได้มาระหว่างที่นายอุทัยเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสินสมรสตามกฎหมายแต่ในคดีดังกล่าวมีประเด็นพิพาทกันเพียงว่า มีความจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดกและโจทก์สมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ส่วนทรัพย์มรดกของนายอุทัยมีอะไรบ้าง เพียงใด ไม่ได้เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีโดยตรงถือไม่ได้ว่าศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์พิพาทว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายอุทัยกับจำเลยที่ 1 อันจะต้องผูกพันจำเลยที่ 1ในคดีนี้ และโดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วยกรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองนำสืบพิสูจน์ว่า ทรัพย์พิพาทในคดีนี้ไม่ใช่สินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายอุทัยดังที่โจทก์ฎีกา

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 15527 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share