แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์ปลูกสร้างสะพานและอาคารบนสะพานโดยมีข้อตกลงในสัญญาว่าเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดให้สิ่งปลูกสร้างนั้นตกเป็นของโจทก์ ครบกำหนดสัญญาเช่าเดิมจำเลยได้โอนสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์แล้วและเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้นต่อมา แม้ภายหลังปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ให้จำเลยเช่านั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และนายอำเภอผู้ปกครองดูแลที่สาธารณะฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินแต่ก็มิได้อ้างสิทธิในสิ่งปลูกสร้างด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวหาตกเป็นของรัฐไม่ โจทก์ยังมีสิทธิครอบครองเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง จำเลยเช่าสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าโดยชำระค่าเช่าให้โจทก์ และครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากสถานที่เช่าได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินโจทก์ปลูกสร้างสะพานท่าน้ำลงสู่ทะเลและอาคารบนสะพานสำหรับค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมีกำหนด 15 ปี เมื่อสิ้นสุดการเช่าให้สิ่งปลูกสร้างตกเป็นของโจทก์ สัญญาเช่านี้สิ้นสุดลงแล้วสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าสะพานกับอาคารบนสะพานนั้นต่อมาอีกสองครั้ง ครั้งสุดท้ายครบอายุสัญญาวันที่ 29 เมษายน 2521 อัตราค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาท ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทราบว่าไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อ ครั้นครบกำหนดจำเลยไม่ออกจากที่เช่าจนบัดนี้เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย และทรัพย์ที่เช่าชำรุดทรุดโทรม ขอให้ขับไล่จำเลยให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและซ่อมแซมทรัพย์ที่เช่าให้อยู่ในสภาพเดิม ไม่ซ่อมให้ใช้เงินแทน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินโจทก์ปลูกสะพานท่าน้ำและอาคารบนสะพานจริง ต่อมาจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์ไปตามสัญญาเช่า เมื่อเดือนเมษายน 2521 จำเลยทราบว่าที่ดินที่จำเลยเช่ากับโจทก์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนายอำเภอเมืองสงขลาซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินตามกฎหมายได้ยื่นฟ้องโจทก์ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม คดีถึงที่สุดโดยโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีศาลจังหวัดสงขลาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2518 เป็นเวลาภายหลังที่จำเลยทำสัญญาเช่าฉบับสุดท้ายกับโจทก์สองเดือนเศษ และทางราชการมิได้อนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น แม้จำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ไปแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายและค่าซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์เรียกค่าเช่าจากจำเลยภายหลังที่มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้โจทก์แพ้คดีตลอดมา ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิรับเงินค่าเช่าตามสัญญาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2518 ถึงเดือนมีนาคม 2521 รวม 33 เดือน เป็นเงิน 49,500 บาทจากจำเลย สิ่งปลูกสร้างชำรุดตามสภาพ หากซ่อมแซมก็ไม่ถึงที่โจทก์เรียกร้องโจทก์ควรได้ประโยชน์จากที่พิพาทเท่าค่าเช่า ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์คืนเงินค่าเช่าแก่จำเลย 49,500 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับนายอำเภอเมืองสงขลาเป็นเรื่องที่ดิน ส่วนสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยโจทก์เรียกค่าเช่าได้ไม่ต้องคืนค่าเช่าให้จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากสะพานและอาคารบนสะพานที่พิพาท กับให้จำเลยซ่อมสะพานและอาคารบนสะพานให้อยู่ในสภาพเดิมหากไม่ซ่อมให้ใช้เงิน 3,000 บาท และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่พิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าที่ดินซึ่งจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์แต่แรกนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทอยู่ในที่ดินนี้ต้องตกเป็นของรัฐ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับตามฟ้องแย้งจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าสะพานและอาคารบนสะพานรายพิพาทตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่แรก ซึ่งคำให้การจำเลยได้ยอมรับว่าได้โอนสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์แล้ว หากสะพานและอาคารจะเป็นสิ่งปลูกสร้างลงบนที่ดินสาธารณะ แต่เมื่อตกเป็นของโจทก์แล้ว โจทก์ก็มีสิทธิครอบครองเฉพาะสิ่งปลูกสร้างรายพิพาทนั้นได้ สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวหาตกเป็นของรัฐดังที่จำเลยฎีกาไม่ การที่นายอำเภอผู้ปกครองดูแลที่สาธารณะฟ้องโจทก์คดีถึงที่สุดตามคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน มิได้อ้างสิทธิในสิ่งปลูกสร้างรายพิพาทด้วย เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่าสิ่งปลูกสร้างรายพิพาทจากโจทก์จำเลยต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญาโดยชำระค่าเช่าให้โจทก์ และครบกำหนดสัญญาเช่า โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากสถานที่เช่าได้
พิพากษายืน