คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2539/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำบรรยายฟ้องในเรื่องจำเลยปล้นทรัพย์ผู้เสียหายคนหนึ่งก่อนหรือหลังผู้เสียหายอีกคนหนึ่งในคดีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายในคืนเดียวกันหลายรายด้วยกัน ย่อมไม่เป็นสารสำคัญของคำฟ้องเป็นแต่เพียงรายละเอียดเพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาเท่านั้น และเมื่อจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้หากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามสารสำคัญของคำฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยร่วมกันปล้นทรัพย์ ด.แล้วจึงไปปล้นทรัพย์ของ ม.ทีหลัง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยปล้นทรัพย์ ม.ก่อนแล้วจึงไปปล้น ด. ซึ่งทำให้ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องบ้างก็ตาม ก็หาใช่สารสำคัญไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ก.เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยใช้เรือยนต์เป็นยานพาหนะและใช้อาวุธปืนที่ติดตัวขู่เข็ญปล้นทรัพย์นายแดง
ข. ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ ก.หลังจากจำเลยปล้นทรัพย์ดังกล่าวแล้วจำเลยได้ปล้นนายตอแหด
ค. ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ ก. เมื่อจำเลยปล้นทรัพย์ดังกล่าวในข้อ ข. แล้ว จำเลยได้ปล้นทรัพย์นายหมาด
ง. ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ ก. เมื่อจำเลยปล้นทรัพย์ดังกล่าวในข้อ ค. แล้วจำเลยได้ปล้นทรัพย์นายหีม หรือ นิรันต์
ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๘๓, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๒, ๑๔, ๑๕ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒๗,๔๒๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดฐานปล้นนายหมาด นายตอแหด และจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานชิงทรัพย์นายหีมด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี, ๓๓๙ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔, ๑๕ แต่การกระทำของจำเลยต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คนละ ๑๘ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถึงแม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยร่วมกันปล้นทรัพย์นายแดง แล้วจึงไปปล้นทรัพย์ของนายหมาดทีหลัง แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยปล้นทรัพย์นายหมาดก่อน แล้วจึงไปปล้นนายแดงซึ่งทำให้ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความต่างฟ้องบ้างก็ตาม แต่คำบรรยายฟ้องของโจทก์ในเรื่องจำเลยปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนหรือหลังในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายในคืนเดียวกันหลายรายด้วยกัน ย่อมไม่เป็นสารสำคัญของคำฟ้องเป็นแต่เพียงรายละเอียดเพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาเท่านั้น และเมื่อจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ หากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามสารสำคัญของคำฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share