แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้ทั้งหลายที่ประสงค์จะขอรับชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ที่อยู่ในหรือนอกราชอาณาจักรต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักรก็ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้ดุลพินิจขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกิน 2 เดือน มิใช่เป็นบทบังคับต้องขยายกำหนดเวลาให้เสมอไปจะขยายให้หรือไม่ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและเหตุผลอันสมควรดังนี้ แม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร แต่ก็มีตัวแทนประกอบธุรกิจอยู่ในราชอาณาจักร หนี้ที่ขอรับชำระก็เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ก่อขึ้นกับสำนักงานตัวแทนของผู้ร้องในราชอาณาจักร การที่ตัวแทนของผู้ร้องดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้น ก็ได้อาศัยใบมอบอำนาจของผู้ร้องซึ่งมีอยู่แต่เดิมตัวแทนผู้ร้องก็สามารถรับรู้กำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เท่ากับเจ้าหนี้รายอื่น ๆที่อยู่ในราชอาณาจักร หากจะขยายกำหนดเวลาให้ผู้ร้อง และรับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องย่อมไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ.
ย่อยาว
คดีนี้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2529 ครบกำหนดให้เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่6 ตุลาคม 2529 ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม2529 ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2529โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้อยู่ นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุขยายกำหนดระยะเวลายื่นขอรับชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีคำสั่งรับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นฎีกาข้อแรกคือข้อที่ผู้ร้อง ฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 91 ที่กำหนดว่าเจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายจะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่ นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกิน 2 เดือน นั้น กำหนดเวลาดังกล่าว หากว่าเป็นกรณีการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่อยู่ นอกราชอาณาจักรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องขยายเวลาออกไปให้เสมอข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าความเข้าใจของผู้ร้องยังคลาดเคลื่อนอยู่ โดยแท้จริงแล้วบทกฎหมายมาตรานี้มุ่ง บังคับให้เจ้าหนี้ทั้งหลายที่ประสงค์จะขอรับชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ที่อยู่ ในหรือนอกราชอาณาจักรต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร ก็ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้ดุลพินิจขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกิน 2 เดือน มิใช่เป็นบทบังคับว่าต้องขยายกำหนดเวลาให้เสมอไป การที่จะขยายให้หรือไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมประกอบกับเหตุผลอันสมควรเป็นสำคัญ ปัญหาที่จะวินิจฉัยต่อไป คือข้อที่ผู้ร้อง ฎีกาว่าผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้เลยกำหนดเวลา 2 เดือน ตามปกติเพียง2 วัน จึงน่าจะรับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไว้ และแม้จะถือเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลก็อนุญาตให้รับคำขอรับชำระหนี้ได้ในเมื่อมีเหตุอันสมควร ในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่ากำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ครบกำหนดในวันที่ 6 ตุลาคม 2529ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้วันที่ 9 ตุลาคม 2529 เป็นการยื่นเลยกำหนดเวลา 3 วัน ไม่ใช่ 2 วันดังที่อ้าง อย่างไรก็ดีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไว้พิจารณาก็หาใช่เพราะเห็นว่าผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ล่าช้าไปหลายวันจนเกินสมควรไม่ แต่เพราะมีเหตุผลเกี่ยวกับความเป็นธรรมระหว่างเจ้าหนี้ทั้งหลายมากกว่า กล่าวคือ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าแม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าหนี้อยู่ นอกราชอาณาจักร แต่ก็มีตัวแทนประกอบธุรกิจอยู่ ในราชอาณาจักร หนี้ที่ขอรับชำระก็เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ก่อขึ้นกับสำนักงานตัวแทนของผู้ร้องในราชอาณาจักร การที่ตัวแทนของผู้ร้องดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้น ก็ได้อาศัยใบมอบอำนาจของผู้ร้องซึ่งมีอยู่ แต่เดิมแล้วนั่นเอง ทั้งตัวแทนของผู้ร้องก็สามารถรับรู้ กำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เท่ากับเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่อยู่ ในราชอาณาจักร หากจะขยายกำหนดเวลาให้ผู้ร้องและรับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไว้ก็จะไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ ซึ่งดุลพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวก็ชอบด้วยเหตุผลแล้ว หามีเหตุผลอันสมควรที่ศาลจะพึงแก้ไขเป็นอย่างอื่นไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสียนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ผู้ร้อง ฎีกามาด้วยว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นอันดับสุดท้าย และเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้จำนอง และเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงไม่ทำให้เจ้าหนี้รายอื่นเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ข้อนี้มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.