แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะที่บิดาโจทก์ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยและสามีนั้น โจทก์อายุเพียง 17-18 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ การที่บิดาโจทก์ขายที่พิพาทส่วนของโจทก์โดยไม่สอบถามโจทก์ก่อน และไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากศาลให้ขายที่พิพาทส่วนของโจทก์แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574(มาตรา 1546 เดิม) ดังนี้การซื้อขายที่พิพาทจึงไม่ผูกพันส่วนของโจทก์ การที่จำเลยและสามีครอบครองทำกินในที่พิพาทส่วนของโจทก์ จึงถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ในฐานะเจ้าของร่วมและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบัวรินทร์และนางบัวให้ขับไล่จำเลยและบริวารห้ามเกี่ยวข้อง กับให้เสียค่าเช่าที่พิพาทแก่โจทก์ปีละ 1,800 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยกับสามีได้ซื้อที่พิพาทจากบิดามารดาโจทก์ โจทก์รู้เห็นไม่โต้แย้ง จำเลยกับสามีเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา จำเลยกับทายาทก็ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมารวมเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามรูปแผนที่หมายเลข 1 เอกสารหมาย จ.2 หนึ่งในสามส่วนของเนื้อที่ 16ไร่ 3 งาน ให้จำเลยชำระเงินในอัตราปีละ 700 บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่พิพาทตามฟ้องโจทก์กับนายบัวรินทร์ และนางบัวเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกันให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยและสามีได้ซื้อที่พิพาทแล้วเข้าทำกินมาตั้งแต่ปี 2509 หรือ 2510 อย่างไรก็ดีในการที่จำเลยและสามีซื้อที่พิพาทนี้ได้ความจากนางจันทร์พยานจำเลยซึ่งเป็นพี่สาวสามีจำเลยว่า นายบัวรินทร์บิดาโจทก์ขายที่พิพาททั้งแปลงให้จำเลยและสามีโดยไม่ได้สอบถามโจทก์ซึ่งเป็นเด็กก่อน เพียงสอบถามนางบัวมารดาโจทก์ นอกจากนี้ตาม ส.ค.1เอกสารหมาย จ.1 และ ล.1 ก็ระบุว่า เมื่อปี 2498 ที่ออก ส.ค.1ดังกล่าว โจทก์อายุ 6 ปี ดังนั้นในปี 2509 หรือ 2510 ที่บิดาโจทก์ขายที่พิพาทแก่จำเลยและสามีนั้น โจทก์อายุเพียง 17-18 ปียังเป็นผู้เยาว์อยู่ การที่นายบัวรินทร์ บิดาโจทก์ขายที่พิพาทส่วนของโจทก์โดยไม่สอบถามโจทก์ก่อนและไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากศาลให้ขายที่พิพาทส่วนของโจทก์แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (มาตรา 1546 เดิม) ดังนี้การซื้อขายที่พิพาทจึงไม่ผูกพันส่วนของโจทก์ การที่จำเลยและสามีครอบครองทำกินในที่พิพาทส่วนของโจทก์ จึงถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ จนกว่าจำเลยและสามีจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือแทนโจทก์อีกต่อไป ซึ่งก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยและสามีจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาทในส่วนของโจทก์ซึ่งคิดเป็นจำนวนหนึ่งในสามของที่พิพาททั้งหมด ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นเพียงบางส่วน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทหนึ่งในสามส่วนของเนื้อที่ 16 ไร่ 3 งาน ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 400 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะมีการแบ่งแยกที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย หรือเมื่อจำเลยไม่เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ