แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนสั้นกระบอกที่จำเลยใช้ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งมิได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นหลักฐาน แม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้วและจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดสองฐานนี้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้ การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้องข้อหาตามมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนสั้นไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ร่วมกับพวกซึ่งมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะชิงทรัพย์ผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาและตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองและวรรคสาม ประกอบมาตรา340 ตรี จำคุก 18 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 21 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาฐานมีอาวุธปืน และข้อหาฐานพาอาวุธปืนคงจำคุกจำเลย 18 ปี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเพียงว่าจำเลยมีความผิดในข้อหามีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังโจทก์ฎีกาหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2527 เวลาประมาณ 14 นาฬิกามีชายสองคนขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าร้านของผู้เสียหายแล้วเข้าไปในร้านเพื่อซื้อไขควง จำเลยเป็นคนหนึ่งในจำนวนชายสองคนนี้ขณะผู้เสียหายหยิบไขควงให้จำเลยกับพวกเลือกดู จำเลยกับพวกได้ชักอาวุธปืนสั้นคนละกระบอกออกมาจ้องที่ผู้เสียหาย และบอกให้ผู้เสียหายไปเปิดลิ้นชักโต๊ะที่เก็บเงิน แล้วบังคับให้ผู้เสียหายก้มศีรษะจำเลยใช้อาวุธปืนตีผู้เสียหาย 2 ที ผู้เสียหายเปิดลิ้นชักให้พวกของจำเลยหยิบเงินสดจากลิ้นชักไป 3,000 บาทเศษ เงินสดที่ห่อไว้ในกระดาษหนังสือพิมพ์อีกจำนวน 27,900 บาท เครื่องคิดเลข 1 เครื่องและนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน จากนั้นจำเลยกับพวกค้นตัวผู้เสียหายได้เงินสดไปอีกประมาณ 600 บาท แล้วบังคับให้ผู้เสียหายมุดเข้าไปใต้โต๊ะ และได้ใช้อาวุธปืนตีผู้เสียหายที่หลังและสะโพกอีกหลายทีจากนั้นได้ลากผู้เสียหายออกมาใช้อาวุธปืนตีที่ขมับทั้งสองข้างจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แล้วเอาไปขังไว้ในห้องน้ำหลังร้านจากนั้นจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป และเอาพัดลมตั้งโต๊ะ2 เครื่องไปด้วย ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2527 ผู้เสียหายไปที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เห็นจำเลยซึ่งถูกจับในคดีอื่นถูกขังอยู่ในห้องขังของสถานีตำรวจ จึงแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหาโจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้องทุกข้อหา สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่า อาวุธปืนสั้นกระบอกที่จำเลยใช้ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายคดีนี้เป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งมิได้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นหลักฐานแม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้ว และจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดสองฐานนี้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามที่โจทก์ฎีกาได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดฐานพกพาอาวุธไปตามทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ด้วยนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้อง ข้อหาตามบทมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน