แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดถึงที่สุดแล้วในคดีก่อนซึ่งโจทก์จำเลยเป็นความกันนั้น ย่อมรับฟังยันโจทก์จำเลยในคดีหลังได้แม้ประเด็นทั้งสองคดีจะต่างกัน
จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือข้อตกลงยอมให้เงินแก่โจทก์จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการชดเชยในการที่โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าเต็มทั้งแปลงตามกำหนดเวลาที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ข้อตกลงเช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่งซึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ แม้ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นไม่มีพยานรับรองไว้สองคนศาลก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
การฟ้องบังคับตามข้อตกลงดังกล่าวอยู่ภายใต้อายุความ 10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้เป็นประเด็นว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้นจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2512 จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เช่าที่ดินโฉนดที่ 1854 ตำบลบางมด เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ มีกำหนด 12 ปี ค่าเช่าปีละ 5,000 บาท หลังจากจดทะเบียนการเช่าได้ปีเศษ จำเลยประสงค์จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอก จำเลยขอให้โจทก์ไปทำสัญญาเพิกถอนสัญญาเช่าโดยจะให้เงินโจทก์ 120,000 บาทเป็นการตอบแทน ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม2513 จำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวให้นางสาววรรณศรีเฉพาะส่วนเนื้อที่ 5 ไร่ในราคา 750,000 บาท โจทก์ได้ทำสัญญาเพิกถอนสัญญาเช่าเฉพาะส่วนที่จำเลยแบ่งขาย จำเลยตกลงให้เงินตอบแทนแก่โจทก์เพียง 75,000 บาทโดยได้จ่ายให้โจทก์แล้ว 10,000 บาท ส่วนที่เหลือ 65,000 บาท จำเลยว่าจะจ่ายให้เมื่อได้รับเงินค่าที่ดินจากผู้ซื้อแล้ว จำเลยได้รับเงินจากผู้ซื้อแล้วแต่ไม่ยอมชำระเงินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน65,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีถึงวันฟ้องเป็นทั้งต้นและดอกเบี้ย 80,437.50 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้เช่าที่ดินจำเลย 10 ไร่ ต่อมาเมื่อประมาณปีเศษ(ก่อนฟ้อง) จำเลยจะขายที่ดินแปลงดังกล่าว ได้ตกลงให้โจทก์และสามีเป็นนายหน้า ค่าบำเหน็จร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ขายได้ และโจทก์จะต้องไปจดทะเบียนเพิกถอนการเช่าให้ด้วย จำเลยขายที่ดินเพียง 5 ไร่ เป็นเงิน750,000 บาท เป็นค่านายหน้า 37,500 บาท โจทก์รับค่านายหน้าไปแล้ว10,000 บาท ต่อมาโจทก์เรียกค่านายหน้าเกินกว่าที่ตกลงกัน โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าที่ดิน 2 ปี จำเลยจึงฟ้องโจทก์ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 6280/2516 ของศาลแพ่ง จำเลยไม่เคยตกลงจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์เอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทำให้นั้น ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ 2 คน ไม่มีผลตามกฎหมาย เงินค่านายหน้าโจทก์เคยให้การในคดีก่อนว่าได้หักกลบลบหนี้กับค่าเช่าที่ค้างแล้ว โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์หาว่าค้างชำระค่าเช่าปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6280/2516 ของศาลแพ่ง คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านางเงินจำเลยได้ตกลงจ่ายค่าชดเชยให้นางเยื้อนโจทก์ 75,000 บาท ชำระแล้ว 10,000 บาท คงค้างอีก 65,000บาท ที่จำเลยฎีกาว่าในคดีหมายเลขแดงที่ 6280/2516 โจทก์และจำเลยมิได้พิพาทกันด้วยเรื่องค่าชดเชยเหมือนคดีนี้ หากแต่พิพาทกันเรื่องโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย (โจทก์คดีนี้) หรือไม่ คำพิพากษาในคดีดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยในคดีนี้นั้น เห็นว่าข้อนำสืบของจำเลย (โจทก์คดีนี้)เกี่ยวกับเรื่องเงินตอบแทนหรือเงินชดเชยตามที่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้นั้นเป็นปัญหาสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยครั้งหนึ่งแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมาข้างต้นแม้ประเด็นทั้งสองคดีจะต่างกัน ก็หาทำให้คำวินิจฉัยเรื่องเงินตอบแทนหรือเงินชดเชยซึ่งเป็นประเด็นในคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่
ที่จำเลยฎีกาว่าลายพิมพ์นิ้วมือที่ทำลงในเอกสาร ล.1 และ ล.2ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้สองคนตามกฎหมาย ไม่ผูกพันจำเลยนั้นคดีได้ความตามที่จำเลย (โจทก์คดีนั้น) เบิกความรับว่าได้ทำความตกลงกับโจทก์ (จำเลยคดีนั้น) ตามข้อความที่ปรากฏในเอกสาร ล.1 จริง ส่วนเอกสารล.2 จำเลย (โจทก์คดีนั้น) ก็เบิกความรับว่านางสาวหวานจิตบุตรจำเลยเป็นคนเขียน ซึ่งก็น่าเชื่อว่านางสาวหวานจิตเขียนข้อความนั้นตามความประสงค์ของจำเลย ทั้งเมื่อพิจารณาเอกสาร ล.2 นี้ประกอบกับเอกสาร ล.1 แล้วเป็นเรื่องจำเลยขอให้โจทก์ถอนสัญญาเช่าที่ดินเฉพาะส่วนที่จำเลยจะขายให้นางสาววรรณศรี โดยจำเลยตกลงจะให้เงินแก่โจทก์จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการชดเชยในการที่โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าเต็มทั้งแปลงตามกำหนดเวลาที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ข้อตกลงเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่งซึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ แม้ลายพิมพ์นิ้วมือที่ทำลงในเอกสาร ล.1 และ ล.2 ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคน ศาลก็รับฟังเอกสารสองฉบับนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2515 จำเลยได้รับหนังสือแล้วโต้แย้งสิทธิเรื่อยมาโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์ทราบว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิ คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่าการที่โจทก์ยอมถอนสัญญาเช่าตามที่จดทะเบียนไว้ก็เพราะจำเลยตกลงจะให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์ แต่แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าตอบแทนตามข้อตกลงดังกล่าว การฟ้องขอให้ชำระเงินเช่นนี้ไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายใดว่าจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงต้องถือตามอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือ 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
สำหรับฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ค่าเสียหายมากน้อยเพียงใด ควรเอาหนี้ที่โจทก์ค้างชำระค่าเช่าที่ดินกับหนี้ที่จำเลยค้างชำระค่าตอบแทน หรือค่าชดเชยมาหักกลบลบกันหรือไม่นั้นข้อต่าง ๆ เหล่านี้มิใช่ประเด็นที่ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน