แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 33 ได้บัญญัติถึงการโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าว่าจะสมบูรณ์ ได้ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนเสียก่อนก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ ได้คิดและออกแบบเครื่องหมายการค้า แล้วนำไปจดทะเบียน โดยใช้ชื่อ ส. สามีโจทก์เป็นผู้จดทะเบียนในระหว่างเป็นสามีภรรยากัน เครื่องหมายการค้าเป็นทรัพย์สินที่ส.กับโจทก์ผู้เป็นคู่สมรสได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรส ส. และโจทก์ย่อมเป็นเจ้าของสิทธิร่วมกันในเครื่องหมายการค้า แม้โจทก์จะมิได้มีชื่อเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในทะเบียนเครื่องหมายการค้าและต่อมาได้มีการหย่าขาดและทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกัน แต่สิทธิในเครื่องหมายการค้าของบุคคลทั้งสองก็ยังคงมีอยู่ร่วมกันจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นของโจทก์แต่ลำพังผู้เดียวตามข้อตกลง การที่จำเลยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ตามมาตรา 27 ตามปกติโจทก์ต้องทำการโฆษณาสินค้าของโจทก์อยู่แล้ว จึงไม่อาจถือว่าค่าโฆษณาสินค้าเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิดของจำเลยโดยตรง แต่เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปการที่จำเลยนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปใช้กับสินค้าของจำเลยย่อมทำให้ค่านิยมทางการค้าของโจทก์ได้รับความกระทบกระเทือน เสียหาย ศาลจึงกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งตามพฤติการณ์ แห่งละเมิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนตรา CLOY อ่านออกเสียงภาษาไทยว่า คลอยตราหัวช้าง และตราผู้หญิงกระโดดเชือก ซึ่งใช้กับสินค้าจำพวกเครื่องหนัง จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ประกอบกิจการขายเครื่องหนังเช่นกัน โดยร่วมกันนำรูปรอยประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะของโจทก์พิมพ์ลงที่ถุงกระดาษสำหรับบรรจุสินค้าจำพวกเครื่องหนังที่จำเลยทั้งสองขายให้แก่ลูกค้าโดยมีเจตนาให้ลูกค้าเข้าใจว่าร้านค้าและสินค้าทีคุณภาพต่ำของจำเลยทั้งสองเป็นร้านค้าและสินค้าเดียวกับของโจทก์ซึ่งจำหน่ายสินค้าจำพวกเครื่องหนังภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าว เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อหลอกลวงให้สาธารณชนหลงผิดในแหล่งกำเนิดสภาพและคุณภาพของสินค้า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท ให้แก่โจทก์และห้ามจำเลยทั้งสองใช้หรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะดังกล่าวของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะตามฟ้องเพราะขณะโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองละเมิดต่อโจทก์นั้น เครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะเป็นของนายประสงค์ วีระกุล นายประสงค์เพิ่งโอนกรรมสิทธิ์เครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะให้โจทก์เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2532 โจทก์จึงมิใช่ผู้ถูกทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 พิมพ์รูปรอยประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะลงบนถุงกระดาษสำหรับบรรจุสินค้าของจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่เคยใช้ถุงกระดาษมีลักษณะตามฟ้องและไม่เคยลอกเลียนหรือเอารูปรอยประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะไป จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีความเสียหาย หากมีก็ไม่เกิน 5,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยทั้งสองใช้หรือกระทำการใด ๆเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะตามฟ้องของโจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองประกอบกิจการขายสินค้าจำพวกเครื่องหนัง นายประสงค์ วีระกุล กับโจทก์เป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2512 ในระหว่างเป็นสามีภริยากัน โจทก์ได้คิดและออกแบบเครื่องหมายการค้าCLOY ตราหัวช้าง และตราหญิงกระโดดเชือก เพื่อใช้กับสินค้าจำพวกเครื่องหนังและให้นายประสงค์จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ต่อมานายประสงค์หย่าจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์โดยจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2530และได้ทำข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โดยเฉพาะเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะนี้ให้เป็นของโจทก์แต่นายประสงค์ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าทั้งสามให้ ในระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน 2531ถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2532 จำเลยทั้งสองได้นำเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะไปพิมพ์หรือแสดงให้ปรากฏบนถุงสำหรับบรรจุสินค้าจำพวกเครื่องหนัง และใช้บรรจุสินค้าจำพวกเครื่องหนังให้ลูกค้าต่อมาโจทก์ฟ้องบังคับให้นายประสงค์โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิในเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะนี้ด้วยนายประสงค์จึงจดทะเบียนโอนให้โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2532 คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า ก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนรับโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาททั้งสามลักษณะจากนายประสงค์นั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองละเมิดสิทธิของโจทก์หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474 มาตรา 33 ซึ่งใช้บังคับอยู่ขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้จะได้บัญญัติถึงการโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าว่าจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนเสียก่อนก็ตาม แต่กรณีตามปัญหาในคดีนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้คิดและออกแบบเครื่องหมายการค้าCLOY เครื่องหมายการค้าตราหัวช้าง และเครื่องหมายการค้าตราหญิงกระโดดเชือก แล้วนำไปจดทะเบียนโดยใช้ชื่อนายประสงค์สามีโจทก์เป็นผู้จดทะเบียนในระหว่างเป็นสามีภริยากันเช่นนี้ เครื่องหมายการค้าพิพาททั้งสามลักษณะเป็นทรัพย์สินที่นายประสงค์กับโจทก์ผู้เป็นคู่สมรสได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรส ทั้งนายประสงค์และโจทก์ย่อมเป็นเจ้าของสิทธิร่วมกันในเครื่องหมายการค้าทั้งสามลักษณะดังกล่าวแม้โจทก์จะมิได้มีชื่อเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าทั้งสามในทะเบียนเครื่องหมายการค้าก็ตาม และแม้ต่อมาภายหลังจะได้มีการหย่าขาดและทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกันแต่สิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของบุคคลทั้งสองก็ยังคงมีอยู่ร่วมกันจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นเป็นของโจทก์แต่ลำพังผู้เดียวตามข้อตกลงการที่จำเลยทั้งสองนำเครื่องหมายการค้าพิพาททั้งสามลักษณะไปแสดงให้ปรากฏที่ถุงกระดาษที่จำเลยใช้ใส่สินค้าที่ขายให้แก่ลูกค้าของตนในระหว่างที่โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทร่วมกับนายประสงค์ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าทั้งสามและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาท ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนในเรื่องค่าเสียหายนั้น แม้โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ทำการโฆษณาสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าพิพาททั้งทางหนังสือพิมพ์นิตยสาร ป้ายติดข้างรถโดยสารประจำทาง ปรากฏตามเอกสารและภาพถ่ายหมาย จ.13 และเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาดังกล่าวประมาณ 1,000,000 บาท ปรากฏตามใบประเมินค่าทำแผ่นป้ายและใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.14 และจ.15 ก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามปกติโจทก์ก็ต้องทำการโฆษณาสินค้าของโจทก์อยู่แล้วจึงไม่อาจถือได้ว่าค่าโฆษณาดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิดของจำเลยโดยตรง อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปการที่จำเลยทั้งสองนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปใช้กับสินค้าของจำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริตเพื่อหลอกลวงให้สาธารณชนหลงผิดในแหล่งกำเนิดสภาพและคุณภาพของสินค้า ย่อมเป็นการละเมิดและทำให้ค่านิยมทางการค้าของโจทก์ได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายซึ่งตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท แก่โจทก์