คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความร่วมในคดีตามคำร้องของจำเลยนั้น ไม่ใช่คำสั่งเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความและไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา226(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนการเช่าอาคาร ๔ ชั้นเลขที่ ๑๕๓ ถึง ๑๘๕จากนายสวัสดิ์ สุภธีระ ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หลังจากจดทะเบียนการเช่าจำเลยได้เสียค่าเช่าอาคารชั้น ๑ และชั้น ๒ ให้โจทก์ โจทก์งดเก็บค่าเช่า เพราะได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากอาคารนั้นก่อนแล้วและครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออก ต่อมาจำเลยทำประตูเหล็กกับอาคารชั้น ๑ โจทก์ให้ทนายมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไป และใช้ค่าเสียหาย จำเลยขัดขืน ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากอาคารดังกล่าว และชำระค่าเสียหายพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า นายทองม้วน อัตถากร ทำสัญญากับนายสวัสดิ์ สุภธีระ โดยนายทองม้วน อัตถากร จะปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของนายสวัสดิ์ สุภธีระ เสร็จแล้วอาคารเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสวัสดิ์ สุภธีระนายทองม้วน อัตถากร มีสิทธิเช่าอาคารและมีสิทธิเรียกค่าก่อสร้างจากผู้เช่าช่วงได้ อาคารเลขที่ ๑๖๓, ๑๖๕ นั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัดขอนแก่นการยนต์จำเลยที่ ๓ ซึ่งมีจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นผู้ถือหุ้นได้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้าง และค่าหน้าดินและทำสัญญาเช่ามีกำหนด ๑๕ ปี โดยนายสวัสดิ์ สุภธีระ รับทราบการเช่าช่วงเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนอาคารเลขที่ ๑๖๑ นั้น นายเสรี สุภธีระผู้เป็นบุตรและตัวแทนของนายสวัสดิ์ สุภธีระ ให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าและจำเลยให้การต่อสู้อีกหลายประการ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนายเสรี สุภธีระ เข้ามาเป็นคู่ความในคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่า ให้ส่งสำเนาคำร้องให้นายเสรี สุภธีระ ถ้านายเสรีสุภธีระจะคัดค้านให้คัดค้านมาภายใน ๗ วัน
นายเสรี สุภธีระ ยื่นคำร้องว่าไม่คัดค้าน พร้อมทั้งให้การรวมมาในคำร้องด้วย ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ครั้นวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้นายเสรี สุภธีระ เข้ามาเป็นคู่ความร่วม จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายเสรีสุภธีระเข้ามาเป็นคู่ความร่วม
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ขอให้อนุญาตให้นายเสรี สุภธีระ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนายเสรีสุภธีระ เข้ามาเป็นคู่ความร่วมนั้นเป็นการเรียกเข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๓) เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖(๑) ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ (น่าจะเป็นจำเลย)
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คำร้องของจำเลยให้เรียกนายเสรีสุภธีระ เข้ามาเป็นคู่ความ นายเสรี สุภธีระ ยื่นคำร้องไม่คัดค้านและขอให้ถือคำร้องเป็นคำให้การด้วย ถือว่านายเสรี สุภธีระ ได้ยื่นคำให้การและเข้ามาในคดีแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลย และสั่งยกคำร้อง และคำให้การของนายเสรี สุภธีระ ก็เท่ากับมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความ เป็นการสั่งยกคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘ จึงอุทธรณ์ได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘(๓) (น่าจะเป็นมาตรา ๒๒๘(๓)) เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายเสรี สุภธีระ เข้ามาเป็นคู่ความร่วมนั้น นายเสรี สุภธีระ ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำสั่งนั้นแต่อย่างใด คงอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านแต่เฉพาะจำเลย ศาลฎีกาจึงจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเฉพาะที่เกี่ยวแก่จำเลยเท่านั้น และเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งไม่อนุญาตให้นายเสรี สุภธีระ เข้ามาเป็นคู่ความร่วมในคดีตามคำร้องของจำเลยนั้นไม่ใช่คำสั่งเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความ และไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความดังจำเลยอ้างในฎีกา แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖(๑)
พิพากษายืน

Share