คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินในโครงการของจำเลยโดยตกลงชำระเงินดาวน์เป็นงวด และชำระเงินส่วนที่เหลือกับจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด หรือภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยแจ้งให้ทราบ ในประกาศโฆษณาของจำเลยระบุว่าจะจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ ถนนคอนกรีต ไฟฟ้า น้ำประปาสนามเด็กเล่น โทรศัพท์สายตรง โทรศัพท์สาธารณะและยามรักษาความปลอดภัย โจทก์ชำระเงินดาวน์แก่จำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือและไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์รวม2 ฉบับ โดยฉบับหลังระบุด้วยว่าหากโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนดให้ถือว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา แต่โจทก์มิได้ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนดเวลาที่จำเลยกำหนดทั้งสองครั้ง โดยโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนก่อนหรือให้จำเลยรับเงินส่วนที่เหลือโดยลดราคาลง แล้วจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แสดงว่าขณะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่ประกาศโฆษณา แม้ยังไม่ครบถ้วน แต่โจทก์ก็มิได้ถือเป็นสาระสำคัญจนถึงขนาดที่โจทก์ไม่อาจรับโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านหรือต้องลดราคาลงทั้งปรากฏว่า จำเลยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามที่ประกาศโฆษณามาเป็นลำดับ และภายหลังจำเลยแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือนานปีเศษ สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเลยยังมิได้จัดให้มีตามประกาศโฆษณาคงมีเพียงโทรศัพท์สาธารณะกับสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเท่านั้น นอกจากนี้ในเวลาที่มีการนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทโจทก์ยังไม่มีความพร้อมด้านการเงินเมื่อโจทก์มิได้ชำระราคาส่วนที่เหลือตามที่ตกลงกัน การที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมมิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12568 เนื้อที่ 32.50 ตารางวาพร้อมอาคารในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์โดยปลอดจากภาระจำนองหรือภาระติดพันใด ๆ และรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 441,000 บาทเป็นค่าที่ดินและอาคารดังกล่าว หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และหากโจทก์ต้องเสียเงินค่าไถ่ถอนจำนองหรือภาระติดพันใด ๆ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้คืนแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินในโครงการของจำเลยที่ 1 ในราคา715,000 บาท โดยตกลงชำระเงินดาวน์เป็นงวด และชำระเงินส่วนที่เหลือกับจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 10 มีนาคม 2538 หรือภายใน15 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้ทราบตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.2 ในประกาศโฆษณาของจำเลยที่ 1 ระบุว่า จะจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ ถนนคอนกรีต ไฟฟ้า น้ำประปา สนามเด็กเล่นโทรศัพท์สายตรง โทรศัพท์สาธารณะและยามรักษาความปลอดภัยตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ชำระเงินดาวน์แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 159,000บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือและไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์รวม 2 ฉบับ โดยฉบับหลังระบุด้วยว่าหากโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด ให้ถือว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญาแต่โจทก์มิได้ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 กำหนดทั้งสองครั้ง

โจทก์ฎีกาประการแรกว่า จำเลยที่ 1 มิได้ก่อสร้างถนนภายในโครงการและมิได้จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนตามที่ประกาศโฆษณา โจทก์จึงไม่จำต้องชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 ในราคาเต็มตามสัญญาและจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามที่ประกาศโฆษณามาเป็นลำดับและภายหลังจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือปีเศษ สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้จัดให้มีตามประกาศโฆษณาคงมีเพียงโทรศัพท์สาธารณะกับสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเท่านั้นนอกจากนี้เหตุที่มิได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทในเวลานั้นมิใช่เพราะจำเลยที่ 1 จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบถ้วนตามที่ประกาศโฆษณาแต่เป็นเพราะโจทก์ยังไม่มีความพร้อมด้านการเงินนั่นเอง เมื่อโจทก์มิได้ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือตามราคาที่ตกลงกันการที่จำเลยที่ 1 ไม่จดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์จะถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมมิได้

พิพากษายืน

Share