แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรกกำหนดระยะเวลาแก่คู่ความในการใช้สิทธิขอให้พิจารณาใหม่ไว้เป็น2 ประการ กล่าวคือ ประการแรกจะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยแต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน ก็ให้นับแต่เมื่อการส่งคำบังคับมีผลใช้ได้ และประการหลังหากมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนเป็นเหตุให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดไม่อาจยื่นคำขอภายในเวลาที่กำหนดไว้ในประการแรกแล้วคู่ความฝ่ายนั้นมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง ส่วนข้อความตอนท้ายของบทบัญญัติดังกล่าวซึ่งห้ามมิให้ยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น มีความหมายว่าห้ามมิให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่นแม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนทำให้การยื่นคำขอต้องล่าช้าเกิน 6 เดือนก็ตาม จำเลยที่ 3 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ล่าช้าเกิน 15 วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้แต่คำขอนั้นมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการยื่นคำขอล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก ซึ่งวรรคสองของมาตรา 208 บังคับให้ต้องกล่าว แม้เป็นชั้นตรวจคำขอ ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำขอให้พิจารณาใหม่ได้.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คจำเลยที่ 1 ที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 แพ้คดี
จำเลยที่ 3 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 3 ได้กล่าวว่า จำเลยที่ 3 เพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งหมายเรียกเอกสาร ลงวันที่ 10มิถุนายน 2530 มาให้ แม้จะมิได้ระบุว่าได้รับหมายเรียกวันใดก็มีหลักฐานปรากฏชัดอยู่ในสำนวน โดยพนักงานเดินหมายรายงานให้ศาลทราบอยู่แล้วทั้งการเพิ่งได้รับหมายเรียกลงวันที่ 10 มิถุนายน 2530ก็ได้แสดงอย่างเด่นชัดแล้วว่าจำเลยที่ 3 ไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันได้ เพราะจำเลยที่ 3 มิได้รับคำบังคับของศาล ถือว่าคำขอได้บรรยายถึงเหตุแห่งการล่าช้าแล้ว นอกจากนี้ยังปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2530 จำเลยที่ 3 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2530 ยังไม่เกินหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ขอให้รับคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 3 ไว้ไต่สวน นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรกกำหนดระยะเวลาแก่คู่ความในการใช้สิทธิขอให้พิจารณาใหม่ไว้เป็น2 ประการ กล่าวคือ ประการแรกจะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยแต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน ก็ให้นับแต่เมื่อการส่งคำบังคับมีผลใช้ได้และประการหลัง หากมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนเป็นเหตุให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดไม่อาจยื่นคำขอภายในเวลาที่กำหนดไว้ในประการแรกแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง ดังนั้นข้อความตอนท้ายของบทมาตราดังกล่าวที่ว่า “แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น จึงมีความหมายว่าห้ามมิให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น แม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนทำให้การยื่นคำขอต้องล่าช้าเกินหกเดือนก็ตาม สำหรับคดีนี้ได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 3 โดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่29 เมษายน 2528 การส่งคำบังคับจึงมีผลใช้ได้ในวันที่ 14 พฤษภาคม252จำเลยที่ 3 จะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่ 29 พฤษภาคม2528 การที่จำเลยที่ 3 ยังไม่ทราบคำบังคับถือได้ว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ไม่อาจยื่นคำขอภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 แต่จำเลยที่ 3 ได้บรรยายในคำขอให้พิจารณาใหม่ว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้และศาลมีคำพิพากษาแล้วเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งหมายเรียกเอกสารลงวันที่ 10 มิถุนายน2530 มาให้ เท่ากับบรรยายว่าจำเลยที่ 3 เพิ่งทราบคำบังคับแล้วตั้งแต่วันได้รับหมายเรียกเอกสารดังกล่าว กรณีตามคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 3 เป็นเรื่องการยื่นคำขอล่าช้าเกินสิบห้าวันนับแต่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ อันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่อาจยื่นคำขอได้สิ้นสุดลงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก ดังนั้นคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 3 ที่มิได้กล่าวว่า ได้รับหมายเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงานบังคับคดีอันทำให้จำเลยที่ 3ทราบว่า ถูกฟ้องคดีนี้และศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 แพ้คดีแล้วเมื่อใด จึงเป็นคำขอที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการยื่นคำขอล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก ซึ่งวรรคสองของมาตรา 208 บังคับให้ต้องกล่าว ในชั้นตรวจคำขอศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 3 ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.