คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2520/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรกกำหนดระยะเวลาแก่คู่ความในการใช้สิทธิขอให้พิจารณาใหม่ไว้เป็น 2 ประการ กล่าวคือ ประการแรกจะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยแต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน ก็ให้นับแต่เมื่อการส่งคำบังคับมีผลใช้ได้ และประการหลังหากมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนเป็นเหตุให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดไม่อาจยื่นคำขอภายในเวลาที่กำหนดไว้ในประการแรกแล้วคู่ความฝ่ายนั้นมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง ส่วนข้อความตอนท้ายของบทบัญญัติดังกล่าวซึ่งห้ามมิให้ยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น มีความหมายว่าห้ามมิให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่นแม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนทำให้การยื่นคำขอต้องล่าช้าเกิน 6 เดือนก็ตาม
จำเลยที่ 3 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ล่าช้าเกิน 15 วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้แต่คำขอนั้นมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการยื่นคำขอล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก ซึ่งวรรคสองของมาตรา 208 บังคับให้ต้องกล่าว แม้เป็นชั้นตรวจคำขอ ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำขอให้พิจารณาใหม่ได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ แพ้คดี
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอ
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๓ ได้กล่าวว่า จำเลยที่ ๓ เพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งหมายเรียกเอกสาร ลงวันที่ ๑๐มิถุนายน ๒๕๓๐ มาให้ แม้จะมิได้ระบุว่าได้รับหมายเรียกวันใดก็มีหลักฐานปรากฏชัดอยู่ในสำนวน โดยพนักงานเดินหมายรายงานให้ศาลทราบอยู่แล้วทั้งการเพิ่งได้รับหมายเรียกลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๐ ก็ได้แสดงอย่างเด่นชัดแล้วว่าจำเลยที่ ๓ ไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันได้ เพราะจำเลยที่ ๓ มิได้รับคำบังคับของศาล ถือว่าคำขอได้บรรยายถึงเหตุแห่งการล่าช้าแล้ว นอกจากนี้ยังปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๓ ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๓๐ ยังไม่เกินหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ขอให้รับคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๓ ไว้ไต่สวน นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคแรกกำหนดระยะเวลาแก่คู่ความในการใช้สิทธิขอให้พิจารณาใหม่ไว้เป็น๒ ประการ กล่าวคือ ประการแรกจะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยแต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน ก็ให้นับแต่เมื่อการส่งคำบังคับมีผลใช้ได้และประการหลัง หากมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนเป็นเหตุให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดไม่อาจยื่นคำขอภายในเวลาที่กำหนดไว้ในประการแรกแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง ดังนั้นข้อความตอนท้ายของบทมาตราดังกล่าวที่ว่า “แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น จึงมีความหมายว่าห้ามมิให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น แม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้จนทำให้การยื่นคำขอต้องล่าช้าเกินหกเดือนก็ตาม สำหรับคดีนี้ได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยที่ ๓ โดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๘ การส่งคำบังคับจึงมีผลใช้ได้ในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒ จำเลยที่ ๓ จะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘ การที่จำเลยที่ ๓ ยังไม่ทราบคำบังคับถือได้ว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ไม่อาจยื่นคำขอภายในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘ แต่จำเลยที่ ๓ ได้บรรยายในคำขอให้พิจารณาใหม่ว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้และศาลมีคำพิพากษาแล้วเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งหมายเรียกเอกสารลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน๒๕๓๐ มาให้ เท่ากับบรรยายว่าจำเลยที่ ๓ เพิ่งทราบคำบังคับแล้วตั้งแต่วันได้รับหมายเรียกเอกสารดังกล่าว กรณีตามคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๓ เป็นเรื่องการยื่นคำขอล่าช้าเกินสิบห้าวันนับแต่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ อันทำให้จำเลยที่ ๓ ไม่อาจยื่นคำขอได้สิ้นสุดลงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคแรก ดังนั้นคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๓ ที่มิได้กล่าวว่า ได้รับหมายเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงานบังคับคดีอันทำให้จำเลยที่ ๓ ทราบว่า ถูกฟ้องคดีนี้และศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ แพ้คดีแล้วเมื่อใด จึงเป็นคำขอที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการยื่นคำขอล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคแรก ซึ่งวรรคสองของมาตรา ๒๐๘ บังคับให้ต้องกล่าว ในชั้นตรวจคำขอศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๓ ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share