คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 จะออกจากบ้านตามภูมิลำเนาไปโดยไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวแต่ขณะที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องนั้น ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไม่อยู่และตั้งผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ หรือมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนสาบสูญแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 1 ได้อาศัยอยู่กับจำเลยที่ 2 และยังมีชื่อปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้านตามที่อยู่ในคำฟ้อง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง ที่อยู่ตามคำฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 37 การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
ธ. เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ผู้ไม่อยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 48 วรรคสอง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2548 ดังนั้น ขณะที่ ธ. ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 ในวันที่ 4 สิงหาคม 2543 ธ. ยังไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 การยื่นคำร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 โดยเห็นควรเพิกถอนคำสั่งรับคำร้องตลอดจนกระบวนพิจารณาและคำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 ของ ธ. และมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าว
โจทก์มีสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินที่มีชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มานำสืบประกอบ โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 จำเลยทั้งสองมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ตลอดมา แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออก จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 47348 ตำบลคำไฮใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การแล้ว นางธงชัย เหงียนวัน บุตรของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การในนามของจำเลยที่ 1 และขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนสาบสูญ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ จากนั้นศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา โดยให้นายธงชัยผู้จัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ผู้ไม่อยู่ ดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 จึงถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายธงชัยเข้าดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 โดยปริยาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารโดยห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาท (น.ส.3 ก.) เลขที่ 82 เล่ม 1 ข หน้า 32 เลขที่ดิน 53 เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 63 ตารางวา ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดิน (น.ส. 4 จ.) เลขที่ดิน 97 เล่ม 574 หน้า 48 หน้าสำรวจ 777 เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 63 ตารางวา ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลคำไฮใหญ่ (ปัจจุบันเป็นกิ่งอำเภอดอนมดแดง) อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ครั้งแรก เจ้าพนักงานศาลไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองตามภูมิลำเนาที่ระบุไว้ในคำฟ้องได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่อยู่บ้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองอีกครั้ง หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมาย การส่งครั้งที่สองเจ้าพนักงานศาลไม่พบจำเลยทั้งสอง จึงปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง ต่อมานายบัวลี กาวัลย์ พี่ชายของจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งแทนจำเลยที่ 1 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไร้ความสามารถหรือผู้ไม่อยู่ นายบัวลีเป็นผู้อนุบาลหรือผู้ปกครองดูแลทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ศาลชั้นต้นรับคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว ความปรากฏต่อศาลชั้นต้นว่านายบัวลีมิใช่ผู้อนุบาลหรือผู้ปกครองดูแลทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจึงให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ทั้งหมด และให้โจทก์สืบหาภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาตามคำฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การในกำหนดจึงสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาสรุปได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนวิกลจริตหายออกไปจากบ้านตามภูมิลำเนาตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2540 ก่อนที่จะมีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีภูมิลำเนาแน่นอนและไม่ทราบที่อยู่ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 ต้องกระทำโดยการประกาศหนังสือพิมพ์ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะออกจากบ้านตามภูมิลำเนาไปตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2540 โดยไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวก็ตาม แต่ขณะที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องนั้น ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไม่อยู่และตั้งผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ หรือมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนสาบสูญแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 1 ได้อาศัยอยู่กับจำเลยที่ 2 และยังมีชื่อปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้านตามที่อยู่ในคำฟ้อง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง ดังนั้น ที่อยู่ตามคำฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปที่ว่า คำสั่งของศาลล่างทั้งสองที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นเห็นว่า นายธงชัย เหงียนวัน เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ผู้ไม่อยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 48 วรรคสอง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 ตามสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นหมาย ร.2 หรือ ล.12 ดังนั้นขณะที่นายธงชัยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 ในวันที่ 4 สิงหาคม 243 นายธงชัยยังไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 การยื่นคำร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 โดยศาลฎีกาเห็นควรเพิกถอนคำสั่งรับคำร้องตลอดจนกระบวนพิจารณาและคำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 ของนายธงชัยเสีย และมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสอง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนางนาง แก้วเสนา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2531 ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.3 โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.4 วันที่ 1 พฤษภาคม 2534 จำเลยที่ 1 มาขอเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์เพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัยมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ในการเช่าที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ได้กำหนดค่าเช่าไว้เนื่องจากสามีโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นญาติกันตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.5 ฝ่ายจำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยที่ 2 นายธงชัย เหงียนวัน บุตรของจำเลยทั้งสอง นางชา ชมพูเกตุ นายวิเชียร บุญสงค์ นายอ่อน แก้วเนตร นางวันดี ทวีสุข นายสวาท จันทรักษ์ และนายสมศิลป์ สูนานนท์ เบิกความเป็นพยานว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง เห็นว่า โจทก์มีพยานเอกสารคือสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ที่มีชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มานำสืบประกอบโจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มิสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 จำเลยทั้งสองมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว แต่จำเลยที่ 2 คงนำสืบเพียงลอย ๆ ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1โดยไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นมานำสืบประกอบ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่ารับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายมีว่า สัญญาเช่าที่ดินพิพาทเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ฝ่ายโจทก์มีนายประเสริฐ สว่างแก้ว และนายสุรพงษ์ โสภาพันธ์ สามีโจทก์เบิกความสนับสนุนว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2534 จำเลยที่ 1 มาทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทเพื่ออยู่อาศัย กำหนดระยะเวลาการเช่า 5 ปี ครบกำหนดสัญญาเช่าวันที่ 1 พฤษภาคม 2539 นายสุรพงษ์เป็นผู้เขียนสัญญาเช่านายประเสริฐลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า ตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.5 ฝ่ายจำเลยที่ 2 มีตัวจำเลยที่ 2 นายธงชัย นายวิเชียร นายอ่อน และนางวันดี เบิกความเป็นพยานทำนองเดียวกันว่า ลายมือชื่อในช่องผู้เช่าตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.5 ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ขณะทำสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 อายุ 45 ปี มิใช่ 48 ปี ที่อยู่ของจำเลยที่ 1 ในสัญญาเช่าไม่ถูกต้อง สัญญาเช่าที่ดินพิพาทเป็นเอกสารปลอม เห็นว่า นายประเสริฐ พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มาทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์โดยนายประเสริฐลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่าดังกล่าว พยานโจทก์ปากนี้เป็นข้าราชการสังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอโขงเจียม ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายโจทก์ จึงรับฟังเป็นพยานคนกลางได้ ที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าอายุและที่อยู่ของจำเลยที่ 1 ในสัญญาเช่าไม่ถูกต้องนั้น เป็นเพียงรายละเอียด มิใช่ข้อสาระสำคัญแห่งสัญญา ทั้งเรื่องนี้นายสุรพงษ์ได้เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านไว้ว่าในวันทำสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 นำสำเนาทะเบียนบ้านมาให้นายสุรพงษ์ นายสุรพงษ์จึงได้กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับที่อยู่ของจำเลยที่ 1 ในสัญญาเช่า ส่วนที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 วิกลจริตตั้งแต่ปี 2512 นั้น เรื่องนี้ได้ความจากนายหวาน ศรีเรือนทอง แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ พยานจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จากรายงานประวัติเอกสารหมาย ล.10 ในปี 2538 จำเลยที่ 1 เข้ามารับการรักษาด้วยตนเองและพูดรู้เรื่อง พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่ารับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ สัญญาเช่าที่ดินพิพาทไม่ใช่เอกสารปลอม ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ตลอดมา แม้จำเลยทั้งสองจะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออก จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน และให้เพิกถอนคำสั่งรับคำร้องตลอดจนกระบวนพิจารณาและคำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 ของนายธงชัย เหงียนวัน และไม่รับคำร้องดังกล่าว คืนค่าคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share