คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน30,000 บาทแก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สลักหลังซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1รับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็คนั้น แต่เมื่อโจทก์แถลงรับในคำแก้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์บ้างแล้ว จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นเงิน3,500 บาท จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 3,500 บาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 ในฐานะผู้สลักหลัง ชำระเงินตามเช็ค 2 ฉบับ ฉบับแรกจำนวน 30,000 บาท ฉบับที่ 2 จำนวน 120,000 บาท ซึ่งธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 2 ที่ 4สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับโดยขู่ว่าหากไม่ยอมลงชื่อจะนำเช็คฉบับก่อน ๆ ไปฟ้องทางอาญาและแพ่ง และขอร้องให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่ออ้างว่าเพื่อเป็นพยาน เช็คทั้งสองฉบับไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 ต้องร่วมรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงิน150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน30,000 บาท นับแต่วันที่ 2 มีนาคม 2526 เป็นต้นไป และในต้นเงิน120,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 นำสืบว่าเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน 30,000 บาทแก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2525 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ประกอบกับคำแก้ฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 เพียง20,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 ให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 15,000บาทและเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530 ทนายจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทฉบับนั้นให้โจทก์อีก 1,500 บาท จำเลยที่ 1จึงยังค้างชำระหนี้ตามเช็คฉบับนั้นต่อโจทก์เป็นเงิน 3,500 บาทโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิใด ๆ ตามเช็คฉบับนั้นต่อไปอีกพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะได้ความว่า เช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน 30,000 บาทแก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สลักหลัง ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1รับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็คนั้นก็ตาม แต่ต่อมาโจทก์แถลงรับในคำแก้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์บ้างแล้ว จำเลยที่ 3 ยังค้างชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวเป็นเงิน3,500 บาท จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 ต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 3,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.5 เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อเป็นประกันในการติดตามทวงหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินรายนี้เท่านั้น ไม่มีมูลหนี้เป็นต้นเงิน 120,000บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.5 เป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทั้งมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่รูปคดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้จำเลยที่ 1 ได้รับผลตามคำพิพากษานี้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และ 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 3,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share