แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน30,000 บาทแก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สลักหลังซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็คนั้น แต่เมื่อโจทก์แถลงรับในคำแก้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์บ้างแล้ว จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นเงิน3,500 บาท จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 3,500 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ในฐานะผู้สลักหลัง ชำระเงินตามเช็ค ๒ ฉบับ ฉบับแรกจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ฉบับที่ ๒ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับโดยขู่ว่าหากไม่ยอมลงชื่อจะนำเช็คฉบับก่อน ๆ ไปฟ้องทางอาญาและแพ่ง และขอร้องให้จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่ออ้างว่าเพื่อเป็นพยาน เช็คทั้งสองฉบับไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ต้องร่วมรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงิน๑๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน๓๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๖ เป็นต้นไป และในต้นเงิน๑๒๐,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๖ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ที่ ๔ นำสืบว่าเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๓ เป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๕ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ประกอบกับคำแก้ฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๓ เพียง๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๑ ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๓ ให้โจทก์แล้วเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐บาทและเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ทนายจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เกี่ยวกับเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๓ ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทฉบับนั้นให้โจทก์อีก ๑,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๑จึงยังค้างชำระหนี้ตามเช็คฉบับนั้นต่อโจทก์เป็นเงิน ๓,๕๐๐ บาทโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิใด ๆ ตามเช็คฉบับนั้นต่อไปอีกพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะได้ความว่า เช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๓เป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นผู้สลักหลัง ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑รับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็คนั้นก็ตาม แต่ต่อมาโจทก์แถลงรับในคำแก้ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ และทนายจำเลยที่ ๑ ได้ชำระเงินให้โจทก์บ้างแล้ว จำเลยที่ ๓ ยังค้างชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวเป็นเงิน๓,๕๐๐ บาท จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๓ ต่อโจทก์เป็นเงินเพียง ๓,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๕ เป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเพื่อเป็นประกันในการติดตามทวงหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินรายนี้เท่านั้น ไม่มีมูลหนี้เป็นต้นเงิน ๑๒๐,๐๐๐บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๕ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทั้งมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่รูปคดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้จำเลยที่ ๑ ได้รับผลตามคำพิพากษานี้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕(๑) และ ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๓,๕๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.