แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์เพื่อการปฏิบัติงานและเพื่อความเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรทำงานกับโจทก์ โดยที่ผู้ร้องผู้เป็นมารดาของจำเลยที่ 1 และเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 ไม่คัดค้าน แต่ผู้ร้องมิได้เป็นคู่สัญญาหรือยินยอมด้วย กรณีเป็นการเฉพาะตัวของจำเลยที่2 ผู้ค้ำประกันโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการอันจำเป็นในครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกับสินสมรสหรือเกิดจากการงานที่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ทำด้วยกัน จึงไม่เป็นหนี้ร่วมตามนัยมาตรา 1490 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ร้องไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้เรียกทรัพย์คืนและค้ำประกันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 2 และมีสิทธิร้องขอกันส่วนในที่พิพาทกึ่งหนึ่งในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ละเมิดและผิดสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 170,658.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำยึดที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 7 ไร่ 4ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 17384 ตำบลไร่สะท้อน อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ของจำเลยที่ 2
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่กึ่งหนึ่งและเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีขอให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์และอนุญาตให้กันส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่งในทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์สินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 หาได้ร่วมกัน มูลหนี้ตามฟ้องผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการก่อให้เกิดขึ้น ผู้ร้องจะต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้กันเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีคงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์เพื่อการปฏิบัติงาน และเพื่อความเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรทำงานกับโจทก์ โดยผู้ร้องผู้เป็นมารดาและภริยาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามลำดับไม่คัดค้าน เมื่อจำเลยที่ 2 สามีผู้ร้องทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องร่วมเป็นคู่สัญญา หรือยินยอมด้วยทั้งการค้ำประกันก็เป็นการเฉพาะตัวของผู้ค้ำประกันโดยตรงไม่เกี่ยวข้องกับกิจการอันจำเป็นในครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกับสินสมรสหรือเกิดจากการงานซึ่งผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ทำด้วยกันไม่เป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ผู้ร้องจึงไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้เรียกทรัพย์คืนและค้ำประกันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่1 ที่ 2 และมีสิทธิร้องขอกันส่วนในที่พิพาทกึ่งหนึ่งซึ่งผู้ร้องมีส่วนในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.