แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกการประชุมของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลที่กระทำต่อหน้าปลัดอำเภอซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ ระบุให้จำเลยเช่านาทำต่อไปอีกเพียง 1 ปี นั้น ไม่ถือว่าการเช่านาของจำเลยสิ้นสุดก่อนกำหนดระยะเวลาการเช่านา ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 31 (3) เพราะมติที่ประชุมดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของคณะกรรมการมิได้มีความหมายว่าจำเลยตกลงเลิกการเช่านา ทั้งมิได้กระทำ ต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะลงลายมือชื่อในบันทึกการประชุมดังกล่าวต่อหน้าปลัดอำเภอ ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงเลิกการเช่านาต่อกัน นอกจากนี้การที่โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลยและประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลนั้น ก็ปรากฏว่าคณะกรรมการยังมิได้พิจารณาการบอกเลิกการเช่าตามหนังสือดังกล่าวตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 34 และ 36 ได้บัญญัติไว้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะเสนอคดีต่อศาล การเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๘๕ ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื้อที่ ๓๖ ไร่ ๓ งาน ๓๙.๓ ตารางวาโดยได้รับการยกให้จากมารดา จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากมารดาโจทก์เพื่อทำนาก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ โดยมิได้ทำหนังสือสัญญาเช่า เมื่อรับโอนกรรมสิทธิ์แล้วโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและบอกกล่าวให้ไปตกลงเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์และคณะกรรมการควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลได้กำหนดอัตราค่าเช่าสำหรับที่ดินพิพาทไร่ละ ๑๐ ถังข้าวเปลือก ซึ่งเมื่อเสร็จฤดูการทำนา จำเลยจะต้องชำระข้าวเปลือกให้โจทก์รวม ๓๖๐ ถัง ในปีการทำนา พ.ศ. ๒๕๒๔ จำเลยชำระให้เพียง ๑๒๕ ถัง คงค้างชำระ ๒๓๕ ถัง ราคาถังละ ๓๒ บาท คิดเป็นเงิน ๗,๕๒๐ บาท ซึ่งจำเลยได้ต่อรองกับโจทก์ว่าโจทก์ต้องให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก ๖ ปีจึงจะชำระค่าเช่าที่ค้างให้ทั้ง ๆ ที่จำเลยทราบดีว่า การเช่าสิ้นสุดลงตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๓๐(๓) แล้วตามบันทึกรายงานการประชุมของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบล โจทก์จึงมอบให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยและคณะกรรมการดังกล่าว ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าและบอกเลิกการเช่าจำเลยได้รับหนังสือแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามจึงขอให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์ออกไปจากที่ดินพิพาทให้ชำระค่าเช่าประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จำนวน ๒๓๕ ถังข้าวเปลือก เป็นเงิน ๗,๕๒๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าเสียหายอีกปีละ ๓๘,๔๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระค่าเช่าและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๓๔, ๓๕ และ ๓๖
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารหรือไม่นั้น ปรากฏจากบันทึกการประชุมของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบล ที่กระทำต่อหน้าปลัดอำเภอ มีข้อความว่าที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้จำเลยผู้เช่านาทำต่อไปอีกเพียง ๑ ปี มติที่ประชุมดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของคณะกรรมการและไม่มีความหมายว่าจำเลยตกลงเลิกการเช่านา อันจะทำให้การเช่านาสิ้นสุดก่อนกำหนดระยะเวลาการเช่านา ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๓๑(๓) นอกจากนี้ปลัดอำเภอก็เป็นเพียงผู้ที่นายอำเภอแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลเท่านั้น มิใช่นายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะลงลายมือชื่อในบันทึกการประชุมต่อหน้าปลัดอำเภอ ก็ไม่ได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงเลิกการเช่านาต่อกัน ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทไปยังจำเลยและประธานคณะกรรมการนั้น ปรากฏว่าคณะกรรมการยังมิได้พิจารณาบอกเลิกการเช่าตามหนังสือดังกล่าว ตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๓๔ และ ๓๖ บัญญัติไว้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเสนอคดีต่อศาล การเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรียกเก็บค่าเสียหายจากจำเลย สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้ชำระค่าเช่านาประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ค้างชำระหรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเช่านาที่ยังค้างชำระอีก ๑๒๕ ถัง ทั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการมีมติให้โจทก์เก็บค่าเช่านาเพียง ๒๕๐ ถัง และโจทก์ได้รับชำระแล้ว๑๒๕ ถัง จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระส่วนที่เหลือได้ แต่เนื่องจากโจทก์ไม่ไปเรียกเก็บจากจำเลย จนจำเลยต้องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการมีมติให้จำเลยขายข้าวที่เป็นค่าเช่านา ซึ่งจำเลยก็ได้ขายข้าวดังกล่าวไปได้เงิน ๓,๑๕๐ บาท จำเลยจึงชอบที่จะชำระค่าเช่านาด้วยข้าวเปลือก หรือด้วยเงินที่ขายข้าวเปลือกดังกล่าว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระค่าเช่านาประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ยังค้างชำระแก่โจทก์ ด้วยข้าวเปลือกจำนวน ๑๒๕ ถังหรือด้วยเงินที่ขายข้าวได้จำนวน ๓,๑๕๐ บาท ในระหว่างรอฟังคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ