คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประกาศประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือของจำเลยที่1เป็นเพียงคำเชิญให้ทำคำเสนอโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดประสงค์จะเข้าทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่1มีหนังสือถึงจำเลยที่1ให้จำเลยที่1ทำสัญญาเช่าหนังสือดังกล่าวเป็นคำเสนอของโจทก์แต่จำเลยที่1ขอเลื่อนการทำสัญญาออกไปหนังสือของจำเลยที่1จึงเป็นคำสนองอันมีข้อความเพิ่มเติมมีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบด้วยเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอบางส่วนของโจทก์ทั้งเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา359วรรคสองต่อมาโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่1ให้ทำสัญญาเช่าภายใน7วันหากทำสัญญาเช่าไม่ได้ให้มีผลเป็นการเลิกสัญญาทันทีนับแต่วันครบกำหนดและต้องคืนเงินค่าประจำซองในการประมูลพร้อมค่าเสียหายให้โจทก์จำเลยที่1มีหนังสือถึงโจทก์ให้โจทก์ไปทำสัญญากับจำเลยที่1ภายใน15วันซึ่งโจทก์ยืนยันไม่ประสงค์จะเข้าทำสัญญากับจำเลยที่1อีกต่อไปเห็นได้ว่าการแสดงเจตนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที1จะต้องบังคับให้เป็นไปตามเจตนาทำนิติกรรมสองฝ่ายเมื่อสัญญาเกิดขึ้นไม่ได้เพราะขาดความตกลงกันความผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ย่อมสิ้นสุดลงจำเลยที่1ต้องคืนเงินประจำซองให้โจทก์จำเลยที่2และที่3ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการประมูลราคาจึงไม่ต้องมีส่วนร่วมในการคืนเงินด้วยและเมื่อยังไม่มีสัญญาเช่าต่อกันจำเลยที่1ก็ยังไม่มีความผูกพันตามสัญญาเช่าให้โจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่1ใช้ค่าเสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าประกันซองประกวดราคา 300,000 บาท แก่โจทก์ และร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหาย 377,581.37 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 377,581.37 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะได้ชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่โจทก์ไม่ยอมเข้าทำสัญญาเช่าเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายไม่สามารถนำเอาสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วงได้ สำหรับเงินประกันซองจำนวน 30,000 บาท นั้นโจทก์เข้าประมูลโดยสมัครใจ จึงไม่เสียหายแต่อย่างใด โจทก์ขอดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ตามประเด็นแห่งคดี
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทั้งสามต้องคืนเงินค่าประกันซองจำนวน 300,000 บาท ในการประกวดราคาและค่าเสียหายให้โจทก์เนื่องจากการที่จำเลยทั้งสามเลื่อนการทำสัญญาเช่าที่โจทก์ชนะในการประมูลการเช่าท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบได้นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังมิได้มีการทำสัญญาเช่าต่อกัน เงินจำนวน300,000 บาท ที่โจทก์ขอคืนนั้นเป็นเงินที่โจทก์ได้วางประกันซองที่โจทก์ยื่นซองประกวดราคาตามประกาศของจำเลยที่ 1 เรื่องประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือตามประกาศลงวันที่ 24 ตุลาคม 2527ที่มีจำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลแหลมงอบ เงื่อนไขที่จำเลยที่ 1 ประสงค์จะประกวดราคามี 9 ข้อ ตามเอกสารหมาย จ.2และผู้ประสงค์จะประกวดราคาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของจำเลยที่ 1ฉบับลงวันที่ 16 ตุลาคม 2527 ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 23 ทุกประการเพื่อให้การเช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบได้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามหนังสือจังหวัดที่ ตร.0016/12586 ลงวันที่1 กันยายน 2527 และหลักเกณฑ์อื่นใดที่ขัดแย้งกับหลักเกณฑ์ข้อ 1ถึงข้อ 23 ให้ยกเลิก โจทก์ได้ยื่นหนังสือใบเสนอการประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 ไว้ว่า โจทก์ทราบหลักเกณฑ์ฉบับลงวันที่ 16 ตุลาคม 2527 ตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 23 แล้วทุกประการซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ประกาศลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 ว่า การยืนซองประกวดราคาได้เสร็จสิ้นแล้วเป็นอันว่าโจทก์เสนอราคาสูงสุด โจทก์ได้เป็นผู้เช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบเพื่อดำเนินกิจการต่อไป โจทก์จึงมีหนังสือตามเอกสารหมาย ล.10 ลงวันที่23 พฤศจิกายน 2527 ถึงจำเลยที่ 1 ว่า ตามประกาศลงวันที่24 ตุลาคม 2527 ในข้อ 7 ระบุว่า ผู้ประกวดราคาได้จะต้องทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 ภายใน 15 วัน หากไม่ทำสัญญาเช่าภายในกำหนดจะริบเงินประกันซองทันที และจะถือว่าเป็นผู้ละทิ้งงานด้วยซึ่งวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 เป็นวันครบกำหนด 15 วัน จึงได้มาพบจำเลยที่ 1 เพื่อทำสัญญาตามที่ระบุไว้ในประกาศ จำเลยที่ 2ได้ลงชื่อเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลแหลมงอบ ตามเอกสารหมายล.11 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 ถึงโจทก์ว่า ตามที่จำเลยที่ 1ได้ประกาศประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือและเปิดซองประกวดราคาไปแล้วนั้น ซึ่งกำหนดให้ผู้ยื่นซองประกวดราคาได้ทำสัญญาภายใน15 วัน นั้น ขณะนี้จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องเลื่อนการทำสัญญาออกไปเนื่องจากได้ส่งร่างสัญญาให้พนักงานอัยการจังหวัดตราดพิจารณาขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งมาจึงขอเลื่อนการทำสัญญาออกไป เมื่อได้รับร่างสัญญาจากพนักงานอัยการจังหวัดตราดเมื่อใด จำเลยที่ 1จะแจ้งให้โจทก์ทราบต่อไป ซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือตามเอกสารหมายล.11 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนการทำสัญญาโดยไม่มีกำหนดเวลาจะมีอำนาจตามกฎหมายในอันที่จะบังคับโจทก์ได้เพียงใดได้ต่อไปศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศของสุขาภิบาลแหลมงอบตามเอกสารหมายล.1 ข้อ 7 จำเลยที่ 1 จะริบเงินประจำซองในการที่จำเลยที่ 1ขอเลื่อนการทำสัญญาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 จำนวน30,000 บาท ของโจทก์ไม่ได้และจะถือว่าโจทก์เป็นผู้ละทิ้งงานก็ไม่ได้ เพราะโจทก์ขอทำสัญญาเช่าแล้วแต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขอเลื่อนเอง ที่จำเลยที่ 1 ใช้หลักเกณฑ์ตามเอกสารหมาย ล.2 ข้อ 21ว่าในวันทำสัญญาผู้เช่าจะต้องนำเงินค่าเช่าจำนวนไม่ต่ำกว่า300,000 บาท ชำระล่วงหน้า 1 ปี พร้อมทั้งนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารใดธนาคารหนึ่งมาวางเป็นประกันสัญญาจำนวน 1,000,000 บาทและในปีต่อไปให้ผู้เช่านำเงินค่าเช่ามาชำระภายในเดือนตุลาคมของทุกปี ในกรณีผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือละทิ้งไม่ดำเนินกิจการเป็นเวลาเกินกว่า 1 เดือน สุขาภิบาลมีอำนาจหน้าที่จะบอกเลิกสัญญาและริบเงินประกันสัญญาแล้วแต่กรณี และข้อ 23 ว่าในการประกวดราคาครั้งนี้สำนักงานสุขาภิบาลแหลมงอบทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเลือกหรืองดให้เช่าต่อผู้ประกวดราคารายใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดเสมอไปหรือจะยกเลิกการประกวดราคาเสียทั้งหมดก็ได้ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ศาลฎีกาเห็นว่าคำเสนอคือการแสดงเจตนาชนิดที่ต้องมีผู้รับ โดยฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาไปมีเนื้อความชัดเจนแน่นอนเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าทำสัญญาด้วย คำเสนอนั้นต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอน ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งสนองรับแล้วทำให้เกิดสัญญาขึ้นได้ทันที คำเสนอจะต้องเสนอต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งตามประกาศของจำเลยที่ 1ก็เป็นเรื่องประกวดราคาเช่าโดยมีข้อ 9 ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายว่าการประกวดราคาครั้งนี้สำนักงานสุขาภิบาลแหลมงอบทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเลือกหรืองดให้เช่าผู้ประกวดราคารายใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดเสมอไป หรือจะยกเลิกการประกวดราคาเสียทั้งหมดก็ได้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ตามประกาศข้อ 9 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า มีความหมายว่าเมื่อมีผู้เข้าประกวดราคาได้แล้ว จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิยกเลิกการประกวดราคาได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องผูกพันประกาศตามเอกสารหมาย จ.2 จึงไม่เป็นคำเสนอของจำเลยที่ 1 คงเป็นเพียงคำเชิญให้ทำคำเสนอเท่านั้นและจำเลยทั้งสามก็ยอมรับในคำแก้ฎีกาไว้แล้วว่าเป็นหนังสือเชิญชวนส่วนหนังสือของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.4 เป็นคำเสนอของโจทก์ที่ประสงค์จะเข้าทำสัญญาเช่า ซึ่งขึ้นอยู่ที่จำเลยที่ 1 จะสนองตอบอย่างไรก็ได้ สำหรับหนังสือที่โจทก์มีถึงจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายล.10 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 ก็เพื่อเป็นหลักฐานผูกพันให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าแต่จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนการทำสัญญา ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือที่จำเลยที่ 1 มีถึงโจทก์ตามเอกสารหมายล.11 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงคำสนองของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ทำให้เกิดสัญญาเช่าขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 ส่วนข้อความที่จำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องเลื่อนการทำสัญญาออกไป เนื่องจากได้ส่งร่างสัญญาให้พนักงานอัยการจังหวัดตราดพิจารณาขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งมาจึงขอเลื่อนการทำสัญญาออกไป เมื่อได้รับร่างสัญญาจากพนักงานอัยการจังหวัดตราดเมื่อใด จำเลยที่ 1 จะแจ้งให้โจทก์ได้ทราบต่อไปดังนั้นหนังสือดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงเป็นคำสนองอันมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบด้วย ซึ่งถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอบางส่วนของโจทก์ ทั้งเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 359 วรรคสองเหตุการณ์ต่อจากวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 มีข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทำหนังสือตามเอกสารหมาย จ.13 ลงวันที่ 15 ธันวาคม2527 ว่า โจทก์ได้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าสะพานท่าเทียบเรือแหลมงอบจากกระทรวงการคลังตามสัญญาเช่าลงวันที่ 13 กันยายน2527 ซึ่งตามสัญญาเช่าดังกล่าวข้อ 9 ได้กำหนดเงื่อนไขว่าผู้เช่าจะนำทรัพย์สินที่เช่าออกให้เช่าช่วงมิได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้เช่า ดังนั้น โจทก์จะเข้าทำสัญญาเช่าสะพานท่าเทียบเรือกับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากกระทรวงการคลังอนุญาตให้จำเลยที่ 1ให้เช่าช่วงได้แล้วเสียก่อน จึงจะมาทำสัญญาต่อไปได้ และต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.20ถึงจำเลยที่ 1 ให้ทำสัญญาเช่าภายใน 7 วัน หากทำสัญญาเช่าไม่ได้ให้มีผลเป็นการเลิกสัญญาทันทีนับแต่วันครบกำหนด และต้องคืนเงินค่าประกันซองในการประมูลจำนวน 300,000 บาท พร้อมค่าเสียหายต่อมาวันที่ 23 เมษายน 2528 จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.23 ว่า ตามหนังสือของโจทก์ลงวันที่ 15 ธันวาคม2527 ที่โจทก์แจ้งให้ทราบว่า โจทก์จะเข้าทำสัญญาเช่าเมื่อได้รับความยินยอมจากกระทรวงการคลังอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ให้เช่าช่วงได้นั้น บัดนี้จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังแล้วจึงให้โจทก์ไปทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ภายใน 15 วัน ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2528 ตามเอกสารหมาย ล.25 ถึงจำเลยที่ 1 ว่า ได้บอกเลิกสัญญาไปแล้วตามหนังสือฉบับลงวันที่15 กุมภาพันธ์ 2528 และขอยืนยันว่าไม่ประสงค์จะเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ขอให้คืนเงินพร้อมค่าเสียหายภายใน 15 วันศาลฎีกาเห็นว่า การแสดงเจตนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะต้องบังคับให้เป็นไปตามเจตนาทำนิติกรรมสองฝ่าย เมื่อสัญญาเกิดขึ้นไม่ได้เพราะขาดความตกลงกันความผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ย่อมสิ้นสุด จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินจำนวน 300,000 บาท ให้โจทก์เพราะเป็นผู้ประกาศประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบและเป็นผู้รับเงินประกันซองจำนวน 300,000 บาท ไว้โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการประมูลราคาจึงไม่ต้องมีส่วนร่วมในการคืนเงินด้วยและโจทก์กับจำเลยที่ 1มิได้มีข้อตกลงกำหนดอัตราดอกเบี้ยกันไว้ จึงให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องนั้น เมื่อยังไม่มีสัญญาเช่าต่อกัน จำเลยที่ 1 ก็ยังไม่มีความผูกพันตามสัญญาเช่าให้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ใช้ค่าเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าประกันซองประกวดราคา จำนวน 300,000 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าได้ชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share