คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2510/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทโจทก์เคยอาศัยใช้ที่พิพาทเป็นครั้งคราวแต่มิได้ครอบครองอย่างเจ้าของถึงแม้โจทก์จะได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทเป็นของโจทก์เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองโจทก์ก็หามีสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำเลยร่วมกันเข้าไปกั้นเขตแบ่งที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกเป็นเนื้อที่ประมาณ130 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนางแฉล้มยายของจำเลย เมื่อนางแฉล้มตายจำเลยได้ร่วมกันครอบครองตลอดมาด้วยความสงบ เปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาจนถึงวันฟ้อง โจทก์ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลุมเอาที่ของจำเลยเป็นการมิชอบ
ศาลชั้นต้นฟังว่า นางแฉล้มไม่ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ซื้อที่พิพาทจากนางแฉล้ม สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ ในประเด็นข้อนี้ปรากฏจากพยานหลักฐานของจำเลยว่า หลังจากนางแฉล้มตายแล้ว นางส้มเช้าบุตรของนางแฉล้มเป็นคนแจ้งนำสำรวจและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนถึงวันฟ้องปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.20 ทั้งได้ความจากตัวจำเลยทั้งสามและนายจงกับนางบุญนาคพยานจำเลยว่า หลังจากนางแฉล้มตายแล้วบุตรและหลานของนางแฉล้มได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันตลอดมา สำหรับโจทก์นั้นนอกจากพยานบุคคลแล้วไม่มีหลักฐานอื่นใดสนับสนุนให้เห็นว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ซื้อที่พิพาทมาจากนางแฉล้มดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าของโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของ จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ที่โจทก์อาศัยใช้ที่พิพาทเป็นลานนวดข้าวเป็นครั้งคราว ก็เป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลย และแม้โจทก์จะได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองโจทก์ก็หามีสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน

Share