คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าโจทก์นำเช็คที่จำเลยที่ 1 ขายให้ไปเข้าบัญชีหลังวันถึงกำหนดสั่งจ่ายเงินในบัญชีของจำเลยที่ 1 จึงไม่พอจ่าย หนี้ย่อมระงับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดก็ดี ปัญหาที่ว่าสัญญาจำนองที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ลงชื่อแทนโจทก์ โดยมิได้ประทับตราของโจทก์ไม่มีผลบังคับก็ดี และปัญหาที่ว่าสัญญาขายลดเช็คสัญญาค้ำประกันลงชื่อจำเลยฝ่ายเดียวเป็นโมฆะก็ดี ล้วนเป็นเรื่องส่วนได้เสียของจำเลยเองมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ด้วยวาจาแล้วหลายครั้ง การที่โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองกำหนดเวลาให้ชำระหนี้จำนวน 1,350,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้น เป็นการบอกกล่าวภายในเวลาอันสมควรแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 1 นำเช็คมาขายลดให้แก่โจทก์สองฉบับฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 1,250,000 บาท อีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,350,000 บาท เช็คดังกล่าวจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและสลักหลังค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปแล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวสัญญาว่าถ้าไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดในหนี้นั้นเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในการขายลดเช็คนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงินคนละไม่เกิน 1,250,000บาท และยอมชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดเงินค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยไม่ต้องฟ้องบังคับจากจำเลยที่ 1 ก่อนนอกจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 1433 ตำบลบางประกอกอำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 มาจำนองไว้กับโจทก์เป็นประกันหนี้ดังกล่าวด้วยโดยสัญญาว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้ไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดใช้เงินที่ยังขาดอยู่จนครบ เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนด โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสี่ให้ชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายได้มอบหมายให้ทนายมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสี่และบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์จำนวน 53,525 บาทขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงิน 1,403,525 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 1,350,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระก็ให้บังคับจำนองที่ดินที่จำเลยที่ 1 นำมาจำนองไว้ขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ถ้าไม่พอก็ขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ให้การร่วมกันว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยที่ 2สั่งจ่ายเพื่อประกันการกู้เงิน โจทก์ได้ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ทำหนังสือค้ำประกันไว้ด้วยโดยโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ไม่มีมูลหนี้ตามเช็คและหนังสือค้ำประกัน โจทก์ควรจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินจากจำเลยที่ 1 เสียก่อน เพราะที่ดินที่จำนองมีราคาเกินกว่าจำนวนหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4และไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 1,403,525บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 1,350,000 บาทนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 1,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างถึงวันฟ้อง 48,801.31 บาทรวมเป็นเงิน 1,298,801.31 บาท กับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,250,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระเงินให้โจทก์บังคับจำนองขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ ถ้าบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาด เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบตามส่วนที่จำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิด

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกที่ว่าโจทก์นำเช็คสองฉบับที่จำเลยที่ 1 ขายแก่โจทก์ไปเข้าบัญชีหลังจากวันถึงกำหนดสั่งจ่ายหนึ่งเดือนเศษ เงินในบัญชีจึงไม่พอจ่าย เป็นความผิดของโจทก์เองหนี้ย่อมระงับไป จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด ข้อสองที่ว่าสัญญาจำนองซึ่งผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เป็นผู้ลงชื่อแทนโจทก์มิได้ประทับตราบริษัทโจทก์ไม่มีผลบังคับ และข้อสามที่ว่าสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันลงลายมือชื่อจำเลยฝ่ายเดียว ฝ่ายโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อด้วยเป็นโมฆะ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้และวินิจฉัยว่าโจทก์ทวงถามและมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้วพิพากษายืน

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายประการแรกว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกที่ว่าโจทก์นำเช็คที่จำเลยที่ 1 ขายให้ไปเข้าบัญชีหลังจากวันถึงกำหนดสั่งจ่าย เงินในบัญชีของจำเลยที่ 1 จึงไม่พอจ่ายหนี้ย่อมระงับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด ข้อสองที่ว่าสัญญาจำนองที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ ลงชื่อแทนโจทก์โดยมิได้ประทับตราบริษัทโจทก์ ไม่มีผลบังคับ และข้อสามที่ว่าสัญญาขายลดเช็คสัญญาค้ำประกันลงชื่อจำเลยฝ่ายเดียวเป็นโมฆะ เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนได้เสียของจำเลยเอง มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

วินิจฉัยเรื่องการบอกกล่าวบังคับจำนองว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้รับการทวงถามด้วยวาจาและด้วยหนังสือมีข้อความตามเอกสารหมาย จ.14โดยหนังสือนั้นเป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผู้จำนองแล้วจำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด การที่โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองกำหนดเวลาให้ชำระหนี้จำนวน 1,350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือบอกกล่าวเป็นเวลาอันสมควรแล้ว

พิพากษายืน

Share