แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอ้างว่าได้ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์เนื่องจากถูกข่มขู่ บันทึกดังกล่าวเป็นโมฆียะ แต่ปรากฏว่าหลังจากเวลาที่มูลเหตุให้เป็นโมฆียะตามที่จำเลยอ้างนั้นสิ้นไปแล้ว จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อีกโดยมิได้แสดงแย้งสงวนสิทธิไว้แจ้งชัดว่า จะบอกล้างบันทึกข้อตกลงในภายหลัง ต้องถือว่าจำเลยให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 142 จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่าจะชำระราคาที่ดินที่ค้างให้โจทก์  ถ้าไม่สามารถนำเงินมาชำระได้ภายในกำหนดก็ยอมเสียดอกเบี้ยตามกฎหมาย  จึงขอให้จำเลยชำระ
จำเลยให้การว่า  บันทึกข้อตกลงที่โจทก์นำมาฟ้องมิได้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและเจตนาของจำเลย  แต่จำเลยต้องทำเพราะถูกบังคับขู่เข็ญ  ข้อตกลงจึงเป็นโมฆียะจำเลยบอกล้างแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  จำเลยอ้างว่าจำเลยทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์เนื่องจาก   โจทก์ร้องเรียนต่อกองบัญชาการคณะปฏิวัติ  แล้วเจ้าหน้าที่ของกองบัญชาการคณะปฏิวัติซึ่งมีพันเอกณรงค์  กิตติขจร  เป็นหัวหน้าได้เรียกตัวจำเลยไปขู่เข็ญบังคับให้ทำ  บันทึกดังกล่าวจึงเป็นโมฆียะ  แต่ปรากฏว่าหลังจากจอมพลถนอม  จอมพลประภาส  และพันเอกณรงค์ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทยแล้วนานถึง ๒ เดือน  ซึ่งอิทธิพลของบุคคลเหล่านี้ย่อมหมดสิ้นไป  จำเลยก็ยังนำดอกเบี้ยไปชำระให้แก่โจทก์เป็นการชำระภายหลังเวลาที่มูลเหตุให้เป็นโมฆียะตามที่จำเลยอ้างนั้นได้สูญสิ้นไปแล้ว  และการที่จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์โดยมิได้แสดงแย้งสงวนสิทธิไว้แจ้งชัดว่าจะบอกล้างบันทึกข้อตกลงในภายหลังต้องถือว่าจำเลยให้สัตยาบันแก่นิติกรรมรายนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๔๒  จำเลยไม่มีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว  ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงเรื่องบันทึกข้อตกลงว่าเกิดจากการข่มขู่หรือไม่อีก
พิพากษายืน

