คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้เขียนจดหมายมีข้อความว่า “ผมต้องขออภัยที่ยังหาบ้านที่เหมาะสมยังไม่ได้ จึงต้องอยู่ต่อไปอีกจนสิ้น พ.ค. นี้ ส่วนค่าเช่าที่ค้างอยู่ ผมจะได้จัดการชำระให้เองในไม่ช้านี้” จดหมายฉบับนี้แม้จำเลยจะเขียนถึงพลเรือโทนัย นพคุณ ซึ่งมิใช่เป็นผู้ให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทก็ตาม แต่กรณีเป็นเรื่องจำเลยยอมรับว่า ได้เช่าบ้านพิพาทและยังค้างค่าเช่าอยู่จริง เมื่อจำเลยได้ลงชื่อในจดหมายฉบับนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นหลักฐานการเช่าอันจะนำมาฟ้องร้องขอให้บังคับคดีได้
คำให้การของจำเลยในคดีอาญาที่เบิกความว่าจำเลยได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานการเช่าในอันที่จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลยได้เช่นเดียวกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซึ่งจำเลยค้างชำระและค่าเสียหายซึ่งจำเลยทำให้ทรัพย์สิ่งของในบ้านเช่าเสียหาย รวมเป็นเงิน ๖,๓๖๕ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้เช่า แต่เป็นบริวารอาศัยอยู่ในบ้านของโจทก์ การเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเช่า
จำเลยยอมรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๖ ว่า โจทก์เป็นหญิงหม้าย จดหมาย(จ.๓) เป็นจดหมายของจำเลยที่ ๒ เขียนถึงพลเรือโทนัย นพคุณ จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน จำเลยเข้าอยู่ในบ้านพิพาทของโจทก์ตั้งแต่ ๑ ม.ค. ๐๖ ถึง ๖ ส.ค. ๐๖ จำเลยที่ ๒ ได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาฐานทำให้เสียเสรีภาพ บุกรุกและหมิ่นประมาท ในคดีนั้นจำเลยที่ ๒ บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์ และได้เบิกความต่อศาลว่า ได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์อยู่ พลเรือโทนัยเป็นลูกพี่ลูกน้องกับโจทก์
โจทก์จำเลยท้ากันให้ศาลชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่า จดหมายของจำเลย หมาย จ.๓ ตลอดจนคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเบิกความไว้ในคดีอาญา จะถือว่าเป็นหลักฐานการเช่าสำหรับฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้หรือไม่ ถ้าศาลชี้ขาดสมฝ่ายใด อีกฝ่ายยอมแพ้ หากโจทก์แพ้ ก็ไม่ติดใจเรียกร้องเอาค่าเช่า ตลอดจนค่าเสียหายจากจำเลย ถ้าจำเลยแพ้ จำเลยยอมใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่โจทก์ โจทก์จำเลยต่างแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยานบุคคลต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจดหมายของจำเลยและคำให้การของจำเลยเป็นหลักฐานการเช่าพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาตามคำท้าของโจทก์จำเลยดังกล่าวข้างต้น คือจดหมาย จ.๓ ซึ่งมีข้อความว่า “ผมต้องขออภัยที่ยังหาบ้านที่เหมาะสมยังไม่ได้ จึงต้องอยู่ต่อไปอีกจนสิ้น พ.ค. นี้ ส่วนค่าเช่าที่ค้างอยู่ ผมจะได้จัดการชำระให้เองในไม่ช้านี้ ผมหวังว่าจะกรุณา” นั้น จะถือเป็นหลักฐานในการเช่าสำหรับฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้หรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ถึงแม้จำเลยจะเขียนจดหมายดังกล่าวถึงพลเรือโทนัย นพคุณ ซึ่งมิใช่เป็นผู้ให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทก็ตาม แต่กรณีเป็นเรื่องจำเลยยอมรับว่าได้เช่าบ้านพิพาทและยังค้างค่าเช่าอยู่จริง เมื่อจำเลยได้ลงชื่อในเอกสารหมาย จ.๓ แล้ว ก็ถือได้ว่าเอกสารหมาย จ.๓ เป็นหลักฐานการเช่าอันจะนำมาฟ้องร้องขอให้บังคับคดีได้ ส่วนคำให้การของจำเลยที่ ๒ ที่เบิกความรับรองไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๖๒๑/๒๕๐๖ ว่า จำเลยที่ ๒ ได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์จริงนั้น ก็ถือเป็นหลักฐานการเช่าในอันที่จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลยได้เช่นดียวกัน
ฉะนั้น เมื่อคำวินิจฉัยสมฝ่ายโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยก็ต้องแพ้คดีตามคำท้า ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่ได้แนบหลักฐานการเช่ามาพร้อมฟ้อง ศาลจะบังคับคดีไม่ได้ ก็ดีและการเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ศาลควรพิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ ๑ ก็ดี พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องนอกคำท้า จำเลยจะมายกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นนี้อีกหาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองเสียค่าทนายความชั้นฎีกาหนึ่งร้อยห้าสิบบาท(๑๕๐ บาท) แก่โจทก์.

Share