แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 11,48,54 และ 69 รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขนถ่านไม้ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา 74 ทวิแต่ศาลนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 17
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนดไว้ให้มีได้โดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ,71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33ริบของป่าหวงห้ามและรถยนต์ของกลาง จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ, 74,74 ทวิ, 74 จัตวา และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงปรับ 300 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนริบถ่านไม้และรถยนต์ของกลาง จ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ไม่ให้ริบรถยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบรถยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกาขอให้ริบรถยนต์ของกลาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การริบทรัพย์สินอันเนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มีบัญญัติไว้ใน มาตรา 74 และมาตรา 74 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 โดยเฉพาะของกลางที่เป็นยานพาหนะได้มีบัญญัติไว้ในมาตรา 74 ทวิ ว่า “บรรดาเครื่องมือเครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะ หรือเครื่องจักรกลใด ๆ ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 11 มาตรา 48 มาตรา 54 หรือมาตรา 69ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่”เห็นว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 11, 48, 54 และ 69 แห่งพระราชบัญญัติ ป่าไม้ เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำต่อไม้หวงห้ามการแปรรูปไม้ การทำลายป่า และการมีไม้หวงห้าม ซึ่งบัญญัติถึงการกระทำแต่ละลักษณะของการกระทำความผิดที่บัญญัติไว้ในแต่ละมาตราดังกล่าว สำหรับกรณีนี้การมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันมิใช่การกระทำอันเป็นความผิด ตามมาตรา 11, 48, 54 และ 69 รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา 74 ทวิอย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้นี้แม้จะมีบทบัญญัติเกี่ยวแก่การริบทรัพย์ไว้เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีข้อความใดบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นอันจะแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการให้นำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ ศาลจึงนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ตามมาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่การที่จะริบรถยนต์ของกลางตามมาตรา 33นั้น เป็นเรื่องอยู่ในดุลพินิจของศาล สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงตามฟ้องปรากฏว่า จำเลยใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามปริมาตร 0.57 ลูกบาศก์เมตร เกินกว่าปริมาณที่กฎหมายอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานเพียงเล็กน้อย จึงเห็นว่าไม่ควรริบรถยนต์ของกลาง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถยนต์ของกลางนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน