คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้อง พ. ในฐานะนายอำเภอเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกงและปลอมหนังสืออันเกี่ยวด้วยที่พิพาทแปลงนี้มาแล้ว คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พ. ไม่ได้ฉ้อโกงโจทก์ และหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงซึ่งโจทก์ทำขึ้นด้วยความสมัครใจโดยมิได้มีการหลอกลวงหรือหลงผิด แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ในคดีนี้โจทก์ฟ้อง น.ปลัดอำเภอโทในฐานะรักษาการแทนนายอำเภอเป็นคดีส่วนแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินขอให้พิพากษาว่าหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ ดังนั้น จำเลยในคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่งจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งเดียวกันคือนายอำเภอ เมื่อโจทก์ได้ฟ้องนายอำเภอเป็นคดีแพ่งอีกในปัญหาเดียวกัน คู่ความทั้งสองคดีจึงเป็นคู่ความเดียวกัน และเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาและในคดีนี้ศาลก็ต้องอาศัยหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับเป็นหลักในการพิพากษา ศาลในคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาว่า หนังสือสัญญาดังกล่าวข้างต้นชอบด้วยกฎหมายและใช้บังคับแก่คู่กรณีได้โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไป
ในสัญญาทั้งสองฉบับโจทก์ยอมรับรองโดยชัดแจ้งแล้วว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ โจทก์จะกลับมาอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของอีกย่อมรับฟังไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินสองแปลงอยู่ตำบลป่าตอง ฯลฯ ที่ดินแปลงแรกใช้ปลูกบ้าน แปลงที่สองเป็นสวนมะพร้าวเดิมที่ดินทั้งสองแปลงเป็นของนายเหื้องที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลจังหวัดภูเก็ต นายเหื้องได้ยกที่ดินทั้งสองแปลงตีชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจนบัดนี้เป็นเวลา ๒๘ ปีแล้วนายพาทย์นายอำเภอกะทู้ได้ขอทำถนนผ่านเข้าไปในที่ดินแปลงที่สอง โจทก์ยินยอม ได้ทำสัญญากันเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๙ โดยโจทก์เข้าใจว่าเป็นสัญญาตกลงทำถนนเข้าไปในที่ดินของโจทก์และกำหนดชดใช้ค่าต้นมะพร้าวที่ถูกโค่นทำถนนต่อมาโจทก์ทราบว่าหนังสือสัญญาดังกล่าวมีข้อความว่าโจทก์ยินยอมรับรองว่าที่ดินแปลงที่สองทั้งหมดเป็นที่สาธารณะ แต่ให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินต่อไปชั่วลูกหลาน ซึ่งไม่ตรงต่อเจตนาของโจทก์ โจทก์ลงชื่อไปด้วยสำคัญผิด สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ สัญญาอีกฉบับหนึ่งลงวันที่ ๙ มิถุนายน๒๕๐๙ มีข้อความทำนองเดียวกันซึ่งโจทก์ไม่เคยตกลงและไม่เคยลงชื่อในสัญญาต่อมาจำเลยอาศัยสัญญาดังกล่าวออกคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง หนังสือสัญญาทั้งสองฉบับเป็นโมฆะ และเพิกถอนคำสั่งนายอำเภอกะทู้ที่ ๑๓/๒๕๑๔
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน นายเหื้องขายเฉพาะที่ดินแปลงแรกที่ใช้ปลูกบ้านให้แก่โจทก์ แต่ไม่เคยขายที่พิพาทหนังสือสัญญาฉบับแรกโจทก์เข้าใจดีมิได้สำคัญผิด สัญญาฉบับหลังทำขึ้นณ ที่ว่าการอำเภอรับรองว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะอีก สัญญาทั้งสองฉบับจึงไม่เป็นโมฆะ คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งโจทก์เคยฟ้องนายพาทย์อดีตนายอำเภอกระทู้ฐานฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเด็ดขาดแล้วว่าตามสภาพและขนาดเช่นนี้เชื่อได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณะ และโจทก์ได้ทำสัญญาฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๙ จริงตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๐/๒๕๑๔ ระหว่าง ฯลฯ ข้อเท็จจริงต้องฟังตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา คำสั่งของจำเลยที่ ๑๓/๒๕๑๔ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
คู่ความรับกันว่า ที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่แปลงเดียวกับที่ดินในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๗๖/๒๕๑๑ ของศาลจังหวัดภูเก็ต ซึ่งนายพาทย์นายอำเภอกะทู้ถูกโจทก์ในคดีนี้ฟ้องหาว่าฉ้อโกงที่พิพาทและปลอมหนังสือฉบับลงวันที่ ๙มิถุนายน ๒๕๐๙ ซึ่งโจทก์รับรองว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าหนังสือลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๙ เป็นเอกสารที่แท้จริง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาทั้งสองฉบับโจทก์รู้และเข้าใจข้อความดีจึงยอมลงชื่อให้ โจทก์มิได้เข้าใจผิดในสารสำคัญ ๆแห่งนิติกรรม สัญญาทั้งสองฉบับจึงไม่เป็นโมฆะ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ จำเลยจึงมีอำนาจออกคำสั่งให้โจทก์ออกจากที่พิพาทได้พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทแปลงนี้โจทก์เคยฟ้องนายพาทย์นายอำเภอกะทู้เป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกงและปลอมหนังสือฉบับลงวันที่ ๙มิถุนายน ๒๕๐๙ ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๗๖/๒๕๑๑ คดีถึงที่สุดซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่านายพาทย์ไม่ได้ฉ้อโกงโจทก์และหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๙ เป็นเอกสารอันแท้จริง และพิพากษายกฟ้องโจทก์คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและขอให้พิพากษาว่าหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่ ๗ และ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๙ระหว่างโจทก์กับนายพาทย์เป็นโมฆะ ในคดีอาญาโจทก์ฟ้องนายพาทย์ในฐานะนายอำเภอกะทู้ ในคดีนี้โจทก์ฟ้องนายนิยมปลัดอำเภอโทในฐานะรักษาการในตำแหน่งนายอำเภอกะทู้ ฉะนั้น จำเลยทั้งในคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่งก็เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเดียวกันคือนายอำเภอกะทู้ เมื่อโจทก์ได้ฟ้องนายอำเภอกะทู้ในคดีอาญาแล้วกลับมาฟ้องในคดีแพ่งอีกในปัญหาเดียวกัน คู่ความทั้งสองคดีจึงเป็นคู่ความเดียวกันและเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา คดีนี้ต้องอาศัยหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับเป็นหลักในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งแต่ปัญหานี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๗๖/๒๕๑๑ของศาลจังหวัดภูเก็ตแล้ว คดีจึงไม่จำเป็นต้องให้คู่ความสืบพยานต่อไป
ข้อเท็จจริงตามหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๙ ข้อ ๓และฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๙ ข้อ ๑ โจทก์ยอมรับรองว่าที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณะแล้วโดยชัดแจ้ง โจทก์จะกลับมาอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของอีกย่อมรับฟังไม่ได้ และหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคดีส่วนอาญาแล้วว่า โจทก์กระทำขึ้นด้วยความสมัครใจ ไม่มีการหลอกลวงหรือหลงผิดแต่อย่างใด หนังสือสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและใช้บังคับแก่คู่กรณีได้ จำเลยเป็นปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอมีหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่พิพาทได้ตามกฎหมาย
พิพากษายืน

Share