คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้บัตรเครดิตปลอมทั้ง 5 ใบ ในคราวเดียวกัน แต่ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์บัตรเครดิตของกลางว่า บัตรเครดิตปลอมแต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกัน ต่างหมายเลขกันและมีข้อมูลของสมาชิกผู้ถือบัตรต่างธนาคารกัน บัตรทุกใบมีข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแทนการชำระด้วยเงินสดได้ ทั้งโดยสภาพของการใช้บัตรดังกล่าว จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาให้มีการนำไปใช้แต่ละใบแยกต่างหากจากกัน ซึ่งน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ถือบัตรหรือธนาคารเจ้าของบัตรตามเนื้อความของบัตรเครดิตปลอมแต่ละใบ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ รวม 5 กระทง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 269/1, 269/2, 269/4, 269/7 ริบบัตรอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือบันทึกข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของกลาง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 4 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 หลบหนี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/2, 269/4 วรรคแรก ประกอบมาตรา 269/7, 83 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/1, 269/2, 269/4 วรรคแรก ประกอบมาตรา 269/7, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม (ที่ถูกต้องระบุว่า ที่ได้ออกให้เพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการด้วย) รวม 5 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ฐานร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (ที่ถูก ฐานร่วมกันมีเครื่องมือเพื่อใช้หรือได้ข้อมูลในการปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์) จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 12 ปี จำเลยที่ 4 ปลอมและร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเอง จึงลงโทษฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ตามมาตรา 269/4 วรรคแรก ประกอบมาตรา 269/7, 83 แต่กระทงเดียว ตามมาตรา 269/4 วรรคสาม รวม 5 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 10 ปี ฐานมีเครื่องมือสำหรับปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 12 ปี จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 6 ปี ริบบัตรอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องบันทึกข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของกลาง ข้อหาร่วมกันปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ 5
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 2 ปีลดโทษให้จำเลยที่ 4 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 1 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ รวมโทษจำคุกฐานอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำเลยที่ 4 มีกำหนด 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 จำคุก 2 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 มีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรเครดิตอันเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการจำนวน 5 ใบ และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ร่วมกันมีเครื่องมือเพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในการปลอม จำนวน 1 เครื่อง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ความผิดฐานมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการจำนวน 5 ใบ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจยึดได้บัตรเครดิตปลอมทั้ง 5 ใบ ดังกล่าวในคราวเดียวกัน แต่ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์บัตรเครดิตของกลางว่า บัตรเครดิตปลอมแต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกัน ต่างหมายเลขกัน และมีข้อมูลของสมาชิกผู้ถือบัตรต่างธนาคารกัน บัตรทุกใบมีข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแทนการชำระด้วยเงินสดได้ ทั้งโดยสภาพของการใช้บัตรดังกล่าว จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาให้มีการนำไปใช้แต่ละใบแยกต่างหากจากกัน ซึ่งน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ถือบัตรหรือธนาคารเจ้าของบัตรตามเนื้อความของบัตรเครดิตปลอมแต่ละใบ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ รวม 5 กระทง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดเพียงกรรมเดียวนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันมีเครื่องมือเพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในการปลอมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยที่ 3 มากับจำเลยที่ 2 เข้าไปติดต่อนายพศวัตเกี่ยวกับบัตรเครดิตที่จะมาใช้ที่อู่ซ่อมรถยนต์ของนายพศวัตว่าอยู่กับเพื่อนที่มากับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าแอคคอร์ดสีแดงก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยที่ 3 ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 และ 4 มาที่อู่ซ่อมรถยนต์ของนายพศวัต เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 4 ผลตรวจค้นของเจ้าพนักงานตำรวจพบเครื่องมือบันทึกข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์อยู่ที่ลิ้นชักรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าแอคคอร์ดสีแดงที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 มาด้วยกัน ประกอบกับได้ความจากคำเบิกความของนายเสน่ห์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ ทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตเกี่ยวกับบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ตอบทนายจำเลยที่ 3 และที่ 5 ถามค้านว่า ผู้ที่จะปลอมแปลงบัตรนั้นมีเพียงเครื่องบันทึกข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และบัตรสีขาวก็สามารถดำเนินการได้เพียงคนเดียว ทั้งคดีนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกันปลอมบัตรเครดิตดังกล่าวด้วย จึงไม่อาจรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 มีเครื่องมือเพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในการปลอม ส่วนที่โจทก์มีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันมีเครื่องมือเพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในการปลอมตามบันทึกจับกุม ก็ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคท้าย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่บ่งชี้ชัดว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดฐานนี้ด้วย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานนี้หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานนี้มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 1 และที่ 3 สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ กับบังคับคดีจำเลยที่ 4 สำหรับความผิดฐานปลอมและร่วมกันมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share