คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1061/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยถูกสลากกินรวบแล้วไปเอาเงินที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้ามือ แต่ผู้เสียหายไม่ให้ จำเลยกับพวกตามไปพบผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายขึ้นรถไปด้วยกัน จำเลยได้ให้ผู้เสียหายเขียนหนังสือถึงภริยาให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือและได้ให้ผู้เสียหายทำสัญญากู้เงินจำเลยเท่าจำนวนที่ถูกสลากกินรวบไว้แล้วให้ผู้เสียหายกลับไป ดังนี้ เจตนาของจำเลยเป็นเพียงแต่จะทวงเอาเงินซึ่งจำเลยเชื่อว่าควรจะได้เงินประเภทนี้จึงไม่ใช่สินไถ่หรือค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 การกระทำของจำเลยขาดเจตนาเพื่อค่าไถ่อันเป็นองค์ความผิดประการสำคัญตามมาตรานี้จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานจับคนเพื่อค่าไถ่ตามมาตรา 313

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์เรียกค่าไถ่กรรโชกทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพและทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 309, 313, 316, 337, 340

คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาว่า การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานจับคนเพื่อค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313,316 หรือไม่

ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยถูกสลากกินรวบแล้วไปเอาเงินที่นายจรูญผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้ามือ แต่นายจรูญไม่ให้ จำเลยกับพวกตามไปพบนายจรูญแล้วดึงแขนนายจรูญขึ้นสามล้อไปด้วย และได้แย่งเอาปืนของนายจรูญและชกทำร้ายนายจรูญปากแตก แล้วพาไปที่สวนกล้วย จำเลยบอกให้จ่ายเงินที่ถูกสลากกินรวบ 15,000 บาท และว่าถ้าไม่มีก็เขียนหนังสือไปเอาที่บ้าน นายจรูญก็เขียนหนังสือถึงภริยาให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือหนังสือ แล้วจำเลยกับนายจรูญก็ขึ้นรถยนต์ไปพูดกันที่ป่าไผ่และได้พากันไปที่บ้านร้อยตรีชุมพล ผลที่สุดนายจรูญตกลงทำสัญญากู้เงินจำเลยตามจำนวนที่ถูกสลากกินรวบ แต่หักค่าปืนที่พวกของจำเลยเอาไปเสีย 2,000 บาท คงทำสัญญากู้เพียง 13,000 บาท เสร็จแล้วก็พากันกลับ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ถึงแม้การติดตามทวงถามเอาเงินในกรณีนี้จะมีลักษณะรุนแรงเลยไปบ้าง เจตนาของจำเลยก็เพียงแต่จะทวงเอาเงินซึ่งจำเลยเชื่อว่าควรจะได้เงินประเภทนี้จึงไม่ใช่สินไถ่หรือค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 การกระทำของจำเลยขาดเจตนาเพื่อค่าไถ่อันเป็นองค์ความผิดประการสำคัญตามมาตรานี้ ส่วนความผิดฐานอื่นไม่มีประเด็นมาสู่ศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share