คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติให้ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่ผู้ทรงเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ส่วนผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุถึงมูลหนี้ว่าเป็นการชำระหนี้ค่าอะไร เพราะเป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ทั้งจำเลยก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทจำกัด มีนายสุดใจ สกลไกล เป็นกรรมการ เมื่อประมาณปลายปี 2535โจทก์ได้รับเช็คเพื่อชำระหนี้จากนายสุดใจเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อย จำนวน 6 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 22 ธันวาคม 2535 จำนวนเงิน 74,400 บาท ฉบับที่สองลงวันที่ 25 ธันวาคม 2535 จำนวนเงิน 78,050 บาท ฉบับที่สามลงวันที่ 4 มกราคม 2536 จำนวนเงิน 72,500 บาท ฉบับที่สี่ลงวันที่ 12 มกราคม 2536 จำนวนเงิน 36,800 บาท ฉบับที่ห้าลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 จำนวนเงิน 81,300 บาท และฉบับที่หกลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2536 จำนวนเงิน 74,200 บาท เช็คทั้งหกฉบับมีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 โดยนายสุดใจ ลงลายมือชื่อสลักหลังและประทับตราของจำเลยที่ 2เมื่อถึงกำหนดโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง 6 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ที่ 5 และที่ 6 ให้เหตุผลว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2535 วันที่ 25 ธันวาคม 2535 วันที่ 12 มกราคม 2536 วันที่ 4 พฤษภาคม 2536 และวันที่ 17 พฤษภาคม 2536ตามลำดับ ส่วนฉบับที่ 3 ให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่ายเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2536 ตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมายเลข 3 ถึง 14 โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 447,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 417,250 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คจากนายสุดใจเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าอะไร โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คทั้ง 6 ฉบับ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง อย่างไรก็ตามเช็คตามฟ้องข้อ 2 ฉบับที่ 1, 2, 3 และ 4 ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 155,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 81,300 บาท นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2536 และจากต้นเงิน 74,200 บาท นับแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 นำเช็คพิพาทมาชำระค่าอะไร ทำให้จำเลยที่ 2 หลงต่อสู้นั้น เห็นว่าเช็คเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติให้ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจะต้องรับชำระเงินให้แก่ผู้ทรงเช็ค เมื่อธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ส่วนผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกันข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงไม่จำต้องระบุถึงมูลหนี้ว่าเป็นการชำระหนี้ค่าอะไร เพราะเป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ทั้งจำเลยที่ 2 ก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องว่า เช็คพิพาททั้ง 6 ฉบับ ไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 2ต้องรับผิด คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share