แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกภาษีอากรจากจำเลยผู้นำของเข้า จำเลยต่อสู้ว่าสินค้ารายพิพาทบริษัท ส. สั่งจากประเทศญี่ปุ่นไม่ตรงตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี อนุมัติ ต่อมาคณะกรรมการ ดังกล่าวได้มีมติกลับมติเดิมให้เรียกเก็บภาษีอากรรายนี้ ก็หาใช่เป็นเหตุโดยตรงให้จำเลยถูกฟ้องเรียกภาษีอากรเป็นคดีนี้ไม่ เพราะจำเลยเป็นผู้นำเข้าสินค้าบริษัท ส. ก็ดี คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรีก็ดีไม่ได้มีส่วนในการนำเข้าสินค้ารายพิพาท จำเลยไม่อาจฟ้องบริษัท ส. หรือสำนักนายกรัฐมนตรี หรือถูกฟ้องไล่เบี้ยอันเนื่องมาจากการเสียภาษีอากรของจำเลย จำเลยจึงไม่อาจขอให้ศาลเรียกบริษัท ส. หรือสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ได้
การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินเพิ่มมากไปกว่าที่จำเลยต้องชำระก็ดี หรือให้เสียดอกเบี้ยโดยที่จำเลยไม่มีความรับผิดตามกฎหมายที่ต้องเสียก็ดี ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับบัตรส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการโรงแรม โดยได้รับงดเว้นการเสียภาษีอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับโทรทัศน์สี ชนิดแบบวงจรปิด ขนาด ๑๓ นิ้ว จำนวน ๔๑๕ เครื่อง จำเลยได้สั่งและนำเข้าเครื่องรับโทรทัศน์สี ยี่ห้อโซนี่ ขนาด ๑๓ นิ้ว มอนิเตอร์ โมเดิล เควี ๑๓๑๐ อี จำนวนดังกล่าว โดยสำแดงเท็จว่าสินค้าดังกล่าวได้รับการงดเว้นการเสียภาษีอากรขาเข้าและภาษีการค้าซึ่งคิดเป็นเงินรวม ๓,๑๔๒,๗๐๒.๒๖ บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตรวจพบว่า เครื่องรับโทรทัศน์สีที่จำเลยนำเข้ามิใช่แบบวงจรปิด คณะกรรมการดังกล่าวจึงมีมติเปลี่ยนแปลง ไม่อนุมัติให้จำเลยได้รับการงดเว้นการเสียภาษี จำเลยจึงต้องชำระอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล กับเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๑ ต่อเดือน จนถึงวันฟ้องแก่โจทก์ ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยใช้เงินภาษีอากรและเงินเพิ่มจำนวน ๖,๗๘๕,๗๗๓.๗๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า บริษัทสามชัย จำกัด ผู้ขายแนะนำว่าโทรทัศน์สีตามฟ้องเป็นระบบวงจรปิด จำเลยจึงขออนุมัติงดเว้นภาษีอากรโทรทัศน์ดังกล่าว ต่อคณะกรรมกรส่งเสริมการลงทุนและได้รับอนุมัติ จำเลยจึงให้บริษัทสามชัย จำกัด สั่งนำเข้ามา เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจแล้วก็ยืนยันว่าถูกต้อง จึงเป็นความประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ บริษัทสามชัย จำกัด เป็นผู้ผิดสัญญา โจทก์ตรวจสินค้านานถึง ๒ ปี เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่ม จำเลยไม่มีเจตนาฉ้อค่าภาษีอากรของรัฐ และไม่ต้องเสียภาษีอากรรายนี้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทสามชัย จำกัด และสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสังกัดอยู่เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๓) ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องและชี้สองสถานแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีอากรและเงินเพิ่มให้โจทก์จำนวน ๖,๗๘๕,๗๗๓.๗๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นไม่เรียกบริษัทสามชัย จำกัด และสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นเห็นว่า คำว่าอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕(๓) นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากคดีที่กำลังพิพาทกันอยู่โดยตรง กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกภาษีอากรจากจำเลยผู้นำของเข้า บริษัทสามชัย จำกัด ก็ดี คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ก็ดี ไม่ได้มีส่วนในการนำเข้าสินค้ารายพิพาท จำเลยจึงไม่อาจฟ้องบริษัทสามชัย จำกัด หรือสำนักนายกรัฐมนตรี หรือถูกฟ้องไล่เบี้ยอันเนื่องมาจากการเสียภาษีอากรของจำเลย คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระเงินเพิ่มร้อยละ ๑ ต่อเดือน รวม ๑๒๑ เดือนและชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ปรากฏว่าจำเลยต้องชำระเงินเพิ่มเพียง ๑๒๐ เดือนและโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระดอกเบี้ยตามอัตราดังกล่าว แม้ปัญหานี้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระภาษีอากรและเงินเพิ่มจำนวน ๖,๔๙๑,๘๖๙.๖๑ บาท ให้โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก