แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ติดตามทวงถามเงินตามเช็คพิพาท จำเลยผัดผ่อนด้วยวาจาครั้งสุดท้ายจำเลยออกหนังสือไปถึงโจทก์มีข้อความว่าจำเลยขอผัดเวลาไปสิ้นเดือน เพราะลูกค้าของจำเลยผิดนัด ไม่เอาเงินมาชำระหนี้ให้จำเลย จำเลยมีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ให้ลูกไปโรงเรียนหมดโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีหนี้จำนวนอื่นต่อกัน ข้อความในหนังสือดังกล่าวเข้าใจได้ว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จริงและจำเลยมีเจตนาจะใช้หนี้นั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ถือได้ว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 และมีผลทำให้อายุความเรียกร้องเงินตามเช็คซึ่งมีระยะเวลา 1 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1002 สะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับใหม่ตามอายุความเดิม1 ปี ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 181 วรรคสอง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาเจริญพาศน์ รวมสองฉบับ ลงวันที่ 5 กันยายน 2528 และ 23กันยายน 2528 สั่งจ่ายเงินฉบับละ 25,000 บาท มอบให้แก่โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้ แต่ปรากฏว่า เช็คทั้งสองฉบับได้ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ขอผ่อนผันชำระหนี้ไว้ให้แก่โจทก์ เมื่อถึงกำหนดจำเลยก็มิได้ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับขาดอายุความแล้ว และเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 มิใช่หนังสือรับสภาพหนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ ฉบับละ 25,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2528 สำหรับเช็คฉบับแรก และวันที่ 28พฤศจิกายน 2529 สำหรับเช็คฉบับที่สอง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 6,250 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ติดต่อขอให้จำเลยชดใช้เงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับแล้วจำเลยผัดผ่อนด้วยวาจา ครั้งสุดท้ายจำเลยได้ออกหนังสือหมาย จ.5 ให้โจทก์ พิเคราะห์หนังสือฉบับดังกล่าวแล้วมีข้อความระบุว่าจำเลยเขียนไปถึงโจทก์ใจความว่า จำเลยขอผัดเวลาไปสิ้นเดือนเพราะลูกค้าของจำเลยผิดนัดไม่เอาเงินมาชำระหนี้ให้จำเลย จำเลยมีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ให้ลูกไปโรงเรียนหมด ไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีหนี้จำนวนอื่นต่อกันอีก ทั้งจำเลยก็ไม่ได้นำสืบพยานหักล้างเป็นอย่างอื่น และข้อความในหนังสือดังกล่าวเข้าใจได้ว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จริง และจำเลยมีเจตนาจะใช้หนี้นั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ปกติโจทก์ต้องฟ้องจำเลยให้ใช้เงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับภายในอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่เช็คถึงกำหนด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 คือฟ้องภายในวันที่ 5 และ 23 กันยายน 2529 ตามลำดับ การที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2529 จึงเท่ากับจำเลยรับสภาพหนี้ภายในกำหนดอายุความดังกล่าว คดีฟังได้ว่าหนังสือตามหมาย จ.5เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ตามความในมาตรา 172 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะมีผลทำให้อายุความเดิมสะดุดหยุดลงต้องเริ่มนับใหม่ตามอายุความเดิม 1 ปี ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดไปตามมาตรา 181 วรรคสองในหนังสือรับสภาพหนี้หมาย จ.5 จำเลยตกลงชำระหนี้ให้โจทก์ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2529 เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสุดสิ้นไปคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2529 จึงต้องเริ่มนับอายุความใหม่ 1 ปีตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยภายในวันที่ 31 กรกฎาคม2530 ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 16มิถุนายน 2530 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.