คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2486/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้และมีไม้สักแปรรูปในท้องที่ซึ่งอยู่ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวหา เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ นำสืบให้เห็นว่าได้มีการคัดสำเนาประกาศซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรประกาศกำหนดให้ตำบลที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ปิดไว้ ในที่ต่าง ๆ ตามที่พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5 กำหนดไว้ครบถ้วนแล้ว คดีจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้และมีไม้สักแปรรูปไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1333/2523) การทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และการมีไม้สักมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครอง การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ จึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ป่าแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในท้องที่ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่มจังหวัดเชียงใหม่ ภายในแนวเขตตามพื้นที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตจังหวัดทุกจังหวัด ปรากฏตามสำเนากระทรวงเกษตรและสำเนาประกาศท้ายฟ้อง ทั้งเจ้าพนักงานได้ปิดประกาศสำเนากระทรวงแผนที่ท้ายกฎกระทรวงและสำเนาประกาศกำหนดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัดเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน จำเลยนี้ได้ทราบกฎกระทรวงแผนที่ท้ายกฎกระทรวงและประกาศดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2524 เวลากลางวัน จำเลยนี้กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1774/2524 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ กับพวกอีกหลายคนที่หลบหนี ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ

ก. จำเลยนี้กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวกับพวกร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ซึ่งใช้เครื่องจักรกลขึ้น 1 โรงในท้องที่ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ อันอยู่ภายใต้เขตควบคุมการแปรรูปไม้

ข. จำเลยนี้กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวกับพวกร่วมทำไม้โดยตัดฟัน โค่น ถาก เลื่อย ทำอันตรายแก่ไม้สัก อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามกฎหมายได้ไม้สักอันยังมิได้แปรรูปจำนวน 3 ท่อน ปริมาตร 1.52 ลูกบาศก์เมตร กับไม้สักแปรรูปอีก 325 ชิ้น/แผ่น/กีบ ปริมาตร 4.871 ลูกบาศก์เมตร ที่ในบริเวณป่าแม่แจ่มซึ่งอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว

ค. จำเลยนี้กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวกับพวกร่วมกันมีไม้สักแปรรูปซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามกฎหมาย จำนวน 325 ชิ้น/แผ่น/กีบ คิดเป็นปริมาตรเนื้อไม้รวม 4.871 ลูกบาศก์เมตร ที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำไม้ดังกล่าวไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตามสำเนาประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ท้ายฟ้อง

ง. จำเลยนี้กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวกับพวกร่วมกันมีไม้สักท่อนอันยังมิได้แปรรูป ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามกฎหมายจำนวน 3 ท่อน ปริมาตร 1.52 ลูกบาศก์เมตร ที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำไม้ดังกล่าวไว้ในครอบครอง

เหตุเกิดที่ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ของให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 6, 14, 31, 35 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2584 มาตรา 7, 11, 48, 69, 73, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 6 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 7, 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 7, 9 ริบของกลาง และสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับตามกฎหมาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 6, 14, 31, 35 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 11, 48, 69, 72, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 6 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 7, 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 7, 9 ความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยมีเครื่องจักรจำคุก 3 ปี ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำคุก 4 ปี ความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 ปี ความผิดฐานมีไม้สักท่อนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 12 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 ปี คดีนี้ไม่มีโทษปรับจึงไม่จ่ายสินบนนำจับให้ ส่วนของกลางมีคำสั่งริบแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1774/2524 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ คำขอให้ริบของกลางจึงให้ยกเสีย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธโจทก์มิได้นำสืบว่าได้มีการคัดสำเนาประกาศซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรกำหนดให้ตำบลที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ปิดไว้ ณ สถานที่ต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ลงโทษจำเลยในข้อหาฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้และฐานมีไม้สักแปรรูปไม่ได้นั้น

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้ และมีไม้สักแปรรูปในท้องที่ซึ่งอยู่ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวหา เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า ได้มีการคัดสำเนาประกาศ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรประกาศกำหนดให้ตำบลที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ปิดไว้ในที่ต่าง ๆ ตามที่พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5 กำหนดไว้ครบถ้วนแล้วคดีจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้ และมีไม้สักแปรรูปไม่ได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1333/2523 ระหว่าง พนักงานอัยการ จังหวัดแพร่ โจทก์ นายคำ ต๊ะนิล กับพวก จำเลยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าการทำไม้สักในป่าสงวนแห่งชาติ และการมีไม้สักมิได้แปรรูปเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระจึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้และในความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share