แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีโจทก์เคยครอบครองที่พิพาทและแจ้งการครอบครองไว้ ต่อมาสามีโจทก์ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่นแล้วถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2504 ครั้น พ.ศ. 2507 จำเลยได้เข้าทำที่พิพาทเป็นสวนสาธารณะและดูแลรักษาตลอดมา โจทก์เพิ่งทราบถึงที่ตั้งของที่พิพาทเมื่อ พ.ศ. 2513 ดังนี้ การที่จำเลยได้เข้าไปทำที่พิพาทให้เป็นสวนสาธารณะและดูแลรักษาตลอดมานั้น ถือได้ว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองในที่พิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว โจทก์จึงต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อปี 2513 จึงหมดสิทธิ์ที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสองของมาตรา 1375
หมายเหตุ วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหม่อมราชวงศ์บุญระบือ กฤดากร หม่อมราชวงศ์บุญระบือถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร บิดาของสามีโจทก์ได้ซื้อที่ดินมือเปล่าให้สามีโจทก์แปลงหนึ่งอยู่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง สามีโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยปลูกต้นผลอาสินขึ้น ต่อมาเมื่อมีประมวลกฎหมายที่ดินออกใช้บังคับ สามีโจทก์ได้มอบให้ขุนอักขรานุการประสิทธิ์ยื่นแบบครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ต่ออำเภอเมืองสงขลาทางราชการได้รับจดทะเบียนให้แล้ว เมื่อสามีโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้พยายามสืบหาที่ตั้งของที่ดินจนได้ทราบเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๑๓ จึงได้ไปติดต่อกับอำเภอเมืองสงขลาเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) แต่จำเลยได้คัดค้านว่าจำเลยได้ครอบครอบที่ดินแปลงนี้ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนมานานแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยเคยมีหนังสือทวงภาษีบำรุงท้องที่จากสามีโจทก์ตามหนังสือที่ ๑๓๘๙/๒๕๐๒ การที่จำเลยคัดค้านทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจขายที่ดินหรือสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวได้ โจทก์ขาดประโยชน์เท่ากับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งของราคาที่ดิน ๘๐๐,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่จำเลยคัดค้าน คือวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๓ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๗,๘๓๓ บาท ๓๓ สตางค์ ขอให้ศาลพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางการครอบครองที่ดินของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายถึงวันฟ้อง ๑๗,๘๓๓ บาท ๓๓ สตางค์ และต่อไปอีกจนกว่าจำเลยจะเลิกขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่พิพาทไม่ได้เป็นของหม่อมราชวงศ์บุญระบือและไม่มีสิทธิ์ครอบครอง จำเลยไม่รับรองหนังสือแสดงสิทธิ์ครอบครองที่โจทก์อ้างถึง หากโจทก์มีจริง โจทก์ก็ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้และสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสงขลาซึ่งจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษา และได้จัดตบแต่งเป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชนมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว โจทก์ไม่เคยมาเกี่ยวข้องทำประโยชน์แต่อย่างใด ที่ดินที่พิพาทอยู่เชิงเขาน้อย ตามกฎหมายโจทก์ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยึดถือและครอบครองได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ใช่ผู้ที่โต้แย้งสิทธิ์ของโจทก์ และโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่ถูกโต้แย้งสิทธิ์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ห้ามจำเลยขัดขวางการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หม่อมราชวงศ์บุญระบือสามีโจทก์เป็นโอรสของพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร สามีโจทก์เคยรับราชการเป็นนายช่างแขวงการทางที่จังหวัดสงขลาเมื่อประมาณ ๔๐ ปีมานี้ แล้วย้ายไปรับราชการจังหวัดอื่น ที่พิพาทตั้งอยู่ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา อยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองสงขลา ไม่เคยจดทะเบียนไว้ว่าเป็นที่สาธารณะประเภทใด ๆ มาก่อน สามีโจทก์เคยครอบครองที่พิพาทและได้แจ้งการครอบครองไว้จริงตามที่โจทก์อ้าง
วินิจฉัยว่า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่สามีโจทก์มีเพียงสิทธิ์ครอบครอง จำเลยได้เข้าไปทำเป็นสวนสาธารณะเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๗ และได้ดูแลรักษาให้เป็นสวนสาธารณะตลอดมาจนบัดนี้ และโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของหม่อมราชวงศ์บุญระบือ เพิ่งทราบถึงที่ตั้งของที่พิพาทเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ และได้ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๓ จึงมีปัญหาว่าที่พิพาทซึ่งแม้จะเคยเป็นของสามีโจทก์ และเมื่อสามีโจทก์ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๕๐๔ โจทก์เป็นผู้รับมรดกที่พิพาทต่อมานั้นได้ถูกแย่งการครอบครองโดยจำเลย เพราะเหตุที่จำเลยได้เข้าไปทำสวนสาธารณะในที่พิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่จำเลยได้เข้าไปทำที่พิพาทให้เป็นสวนสาธารณะและได้ดูแลรักษาตลอดมานั้น ถือได้ว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองในที่พิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ แล้ว โจทก์จึงต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเสียภายใน ๑ ปี นับตั้งแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้เข้าทำสวนสาธารณะในที่พิพาทตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ และโจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ โจทก์จึงหมดสิทธิ์ที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสองของมาตรา ๑๓๗๕ ดังกล่าว
พิพากษากลับเป็นให้ยกฟ้องของโจทก์.