แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่1ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดในสัญญาเนื่องจากจำเลยที่1ขอผัดผ่อนการชำระเงินแก่โจทก์ซึ่งโจทก์ยอมผ่อนผันให้และตามสัญญาเช่าซื้อก็ระบุว่าในกรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญาถ้าเจ้าของยอมผ่อนผันให้ไม่ถือเป็นการผ่อนผันการผิดนัดหรือผิดสัญญาอย่างอื่นทั้งโจทก์มีพยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อก่อนมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง จำเลยที่1ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์แต่ละงวดหลังจากครบกำหนดตามสัญญาแล้วซึ่งโจทก์ผ่อนผันยอมรับชำระค่าเช่าซื้อนั้นมาตลอดย่อมถือว่าโจทก์และจำเลยที่1ยังคงปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นยังใช้บังคับอยู่โดยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญอีกต่อไปและจะถือว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีตามที่ระบุไว้ในสัญญามิได้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่1ชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา387เสียก่อนหากจำเลยที่1ไม่ชำระจึงบอกเลิกสัญญาได้เมื่อปรากฎว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่1โดยยังไม่มีการบอกกล่าวเช่นนั้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ตกลงผ่อนชำระรวม 36 งวด โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 16 เป็นต้นมา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 88,725 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 48,000 บาท และอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดตลอดมาโจทก์ก็ยอมรับ ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญ จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแล้ว 20 งวด สัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกันขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา45,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ 16,000 บาทและอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาใจความว่า การที่จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดในสัญญาเนื่องจากจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อนการชำระเงินแก่โจทก์ซึ่งโจทก์ยอมผ่อนผันให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อจุดประสงค์ของธุรกิจทางการค้าและตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 12 ก็ระบุไว้ว่า ในกรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญาหลายครั้งหลายอย่าง ถ้าเจ้าของยอมผ่อนผันการผิดสัญญาครั้งใดไม่ถือเป็นการผ่อนผันการผิดนัดหรือผิดสัญญาอย่างอื่นแต่อย่างใด แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งประพฤติผิดสัญญามาตลอดกลับมาหยิบยกข้อที่โจทก์ยอมรับชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงกำหนดเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้อันเป็นการกระทำที่ทุจริตผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายทั้งโจทก์มีพยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อก่อนมีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมายจ.6 และ จ.7 แล้ว เป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามที่ศาลล่างฟังมาว่าในการชำระราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทในงวดที่ผ่านมา จำเลยที่ 1 ชำระไม่ตรงตามกำหนดสัญญา โดยจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวดหลังจากครบกำหนดแล้ว ซึ่งโจทก์ผ่อนผันยอมรับชำระค่าเช่าซื้อที่ไม่ตรงกำหนดนั้นเอาไว้มาตลอด ย่อมถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นยังใช้บังคับอยู่ โดยโจทก์และจำเลยที่ 1มิได้ถือกำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญต่อไปดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญาจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 11 มิได้ ในกรณีเช่นนี้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1ชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระจึงบอกเลิกสัญญาได้ แต่ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้มีการบอกกล่าวไปเช่นนั้น กลับปรากฎว่าหลังจากนั้นโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 เลยทีเดียวเช่นนี้โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน