คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2481/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้ใดมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดมีปริมาณตั้งแต่ 200 ลิตรขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้กระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายก็ตาม แต่บทบัญญัติของกฎหมายนั้นเองได้ให้โอกาสผู้นั้นพิสูจน์ว่าได้น้ำมันเชื้อเพลิงมาโดยไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ เมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันทำให้คุณภาพน้ำมันลดลง นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยซื้อน้ำมันจากบริษัทอื่นโดยวิธีที่รถบรรทุกน้ำมันได้บรรทุกน้ำมันมาถ่ายลงในถังใต้ดิน โดยจำเลยมิได้ตรวจสอบคุณภาพ ทั้งค่าออกเทนของน้ำมันก็ลดลงเพียง .6 เท่านี้จำเลยจึงไม่มีความผิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมปนหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดจนทำให้คุณภาพน้ำมันเบนซินชนิดพิเศษต่ำกว่าที่กำหนด และมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่กำหนด จำนวน 5,200 ลิตรเพื่อจำหน่าย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 มาตรา 13, 25 ตรี, 27พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 9ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้องลงโทษปรับจำเลยที่หนึ่ง 30,000 บาท จำคุกจำเลยที่สอง มีกำหนด 1 ปี 6 เดือนจำเลยที่หนึ่งไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์จำเลยที่หนึ่งบังคับคดี ของกลางริบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุและมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ร่วมกันมีน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินชนิดพิเศษที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดมีปริมาณ 5,200 ลิตร ไว้ในครอบครองปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ใดมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดมีปริมาณตั้งแต่ 200 ลิตรขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้นั้นเป็นผู้กระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 มาตรา 25 ตรีวรรคสาม เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2522 มาตรา 9 ก็ตาม แต่บทบัญญัติของกฎหมายนั้นเองได้ให้โอกาสผู้นั้นพิสูจน์ว่าได้น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมาโดยไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดได้ ซึ่งความข้อนี้ ปรากฏว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันทำให้ลดคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงลง นอกจากนั้นจำเลยทั้งสองยังนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันที่เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างไปตรวจสอบจากบริษัทซัมมิทออยส์ จำกัด โดยวิธีที่รถบรรทุกน้ำมันของบริษัทซัมมิทออยส์ จำกัด บรรทุกน้ำมันมาถ่ายลงในถังเก็บน้ำมันใต้ดินซึ่งอยู่ในบริเวณปั๊มน้ำมันของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน เพราะไม่มีเครื่องมือ แล้วคดียังได้ความจากนายนิเวศน์ สุพตานนท์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบหาค่าออกเทนน้ำมันเชื้อเพลิงรายนี้ว่า กฎหมายได้ประกาศกำหนดค่าออกเทนของน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินชนิดพิเศษไว้ 94.6 แต่ผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินชนิดพิเศษของกลางค่าออกเทนหาได้ 94.0 สาเหตุที่ทำให้ค่าออกเทนลดลงมีอยู่หลายประการเช่น ถังเก็บน้ำมันสกปรก การเก็บรักษาไม่ดี ระยะเวลาการเก็บเก็บในอุณหภูมิที่สูงเกินไป ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินนั้นมีโอกาสระเหยอันเป็นผลให้ค่าออกเทนลดลงได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ผลการตรวจสอบค่าออกเทนโดยผู้ตรวจสอบมิใช่บุคคลคนเดียวกันหรือมิใช่ใช้เครื่องมือตรวจสอบเครื่องเดียวกันจะได้ค่าออกเทนคลาดเคลื่อนแตกต่างกันประมาณ 0.6 นายนิเวศน์ยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงรายนี้ว่า น้ำมันเชื้อเพลิงของกลางไม่น่าจะเกิดจากการปลอมปนถ้าเป็นการปลอมปนค่าออกเทนจะต่ำกว่านี้มาก ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานโจทก์จำเลยดังกล่าว คดีมีเหตุผลเชื่อได้ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเลยทั้งสองมีไว้ในครอบครองเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงมีคุณภาพต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share