คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2479/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการใหญ่บริหารโรงแรม และมอบอำนาจให้เป็นผู้ทำสัญญาซื้อสินค้าจากโจทก์ รวมทั้งให้เป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คในบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 4 ในกิจการของโรงแรมได้ ดังนี้ถือได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 4 ได้เชิดให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนบริษัทจำเลยที่ 4 ต้องรับผิดในฐานะตัวการชำระราคาสินค้าพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อจากโจทก์เพื่อใช้ในกิจการของโรงแรม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๓เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นเจ้าของโรงแรมคอนติเนนตัล เดิมจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ได้เช่าโรงแรมดังกล่าวจากจำเลยที่ ๔ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในฐานะส่วนตัว ได้ร่วมกันซื้อตู้สาขาโทรศัพท์อัตโนมัติ และอุปกรณ์จากโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา จำเลยดังกล่าวได้ขอทำความตกลงใหม่โดยขอซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์ตามสภาพที่ติดตั้งไว้ที่โรงแรมฯ ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ในราคา ๑,๑๙๑,๐๐๐ บาท โดยผ่อนชำระ ๓๐ เดือนดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๖ และต่อไปทุกเดือนจนกว่าจะครบ หากผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด และจำเลยทั้งสี่ตกลงชำระดอกเบี้ยที่ค้างตามสัญญาเดิม ๕๐,๕๙๕ บาท แก่โจทก์ด้วยการที่จำเลยที่ ๔ ทำความตกลงกับโจทก์ดังกล่าว จำเลยที่ ๔ได้เชิดจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนและ/หรือ จำเลยที่ ๔ รู้แล้ว ยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตัวเองเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๔ และจากข้อตกลงดังกล่าวจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๒ ได้สั่งจ่ายเช็ค ๕ ฉบับให้แก่โจทก์ แต่ปรากฏว่าเช็คเรียกเก็บได้เพียง ๓ ฉบับ อีก ๒ ฉบับ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถาม จำเลยบ่ายเบี่ยง จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดใช้ค่าอุปกรณ์ที่เหลือ ๑,๑๘๖,๕๙๔.๒๓ บาท กับดอกเบี้ย๒๗๒,๓๒๓.๓๗ บาทแก่โจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินแก่โจทก์ ๑,๔๕๘,๙๑๗ บาท กับดอกเบี้ยจากต้นเงิน๑,๑๘๖,๕๙๔.๒๓ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑และที่ ๓ เป็นเพียงผู้ดูแลอุปกรณ์โทรศัพท์แทนโจทก์ โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์แก่จำเลยที่ ๔ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ชำระค่าอุปกรณ์โทรศัพท์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เคยทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์กับโจทก์ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ในนามของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ในฐานะส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ เมื่อติดตั้งอุปกรณ์โทรศัพท์เสร็จ โจทก์ได้ทวงถามค่าสินค้า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ แจ้งว่ายังไม่มีเงินโจทก์จึงขอให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาซื้อขายฉบับที่สอง จำเลยที่ ๒บอกโจทก์ว่า จำเลยที่ ๔ ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้ารายนี้ โจทก์บอกว่าจะไปตกลงกับจำเลยที่ ๔ เอง จำเลยที่ ๒ จึงทำสัญญากับโจทก์ ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินค่าสินค้า จำเลยที่ ๒ นำเช็คของจำเลยที่ ๔ ซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยที่ ๒ มาสั่งจ่ายให้โจทก์๕ ฉบับตามฟ้อง จำเลยที่ ๔ ทราบเรื่องจึงเรียกให้จำเลยที่ ๒นำเช็คมาคืนแต่ปรากฏว่าโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินได้ ๓ ฉบับ จำเลยที่ ๒ จึงต้องให้เงินคืนจำเลยที่ ๔ จำนวน ๗๒,๕๖๕.๗๗ บาท ส่วน ๒ฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงเงินค่าสินค้าอีก จำเลยที่ ๒ ขอให้โจทก์นำอุปกรณ์โทรศัพท์คืนไป ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ลงนามในบันทึกการเลิกสัญญาซื้อขายกับโจทก์ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของโรงแรมคอนติเนนตัลเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ได้เช่าโรงแรมดังกล่าวโดยร่วมกับจำเลยที่ ๒ ในนามจำเลยที่ ๓ ต่อมาได้เลิกสัญญาเช่า จำเลยที่ ๑ให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนส่งมอบโรงแรมฯ คืน จำเลยที่ ๔ ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ รับโรงแรมฯ คืนจากจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๒ ยังมีรายได้ค้างรับจากการดำเนินกิจการของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ นอกจากนี้จำเลยที่ ๔ ยังให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจลงนามในเช็คของจำเลยที่ ๔จนกว่าการสะสางหนี้สินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๔ จะสิ้นสุดลงจำเลยที่ ๔ ไม่ได้แต่งตั้งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการโรงแรม จำเลยที่ ๑ ได้มอบอุปกรณ์โทรศัพท์มาพร้อมกับการส่งมอบโรงแรมฯ คืนแต่ไม่มีรายละเอียดการใช้อุปกรณ์โทรศัพท์จำเลยที่ ๔ ครอบครองปรปักษ์เกิน ๑ ปี จึงขอให้โจทก์ส่งรายละเอียดการใช้โทรศัพท์มาให้โจทก์ขอให้จำเลยที่ ๔ ซื้อโทรศัพท์พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ยังไม่ชำระเงินค่าซื้อขายโทรศัพท์พร้อมอุปกรณ์จำเลยที่ ๔ ว่าไม่สามารถซื้อโทรศัพท์ที่มีพันธะ ผูกพัน ถ้าหากโจทก์จะรับโทรศัพท์คืนก็ได้ โจทก์จึงมอบบันทึกการเลิกสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ มาให้จำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ว่าหลักฐานดังกล่าวไม่ถูกต้อง ให้เสนอมาใหม่ จำเลยที่ ๔ ไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ กระทำแทนขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๔ ชำระเงิน ๑,๔๕๕,๕๕๕.๐๕ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓
จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของโรงแรมคอนติเนนตัล เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓ บริษัทเซฟเวย์ซุปเปอร์มาเก็ต จำกัด โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานกรรมการได้ทำสัญญาเช่าโรงแรมดังกล่าวจากจำเลยที่ ๔ มีกำหนด ๑๐ ปี เมื่อเช่าแล้วจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ดำเนินกิจการของโรงแรมในนามจำเลยที่ ๓โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการโรงแรม เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กรรมการได้ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์ในราคา ๑,๑๙๑,๐๐๐ บาท ในวันทำสัญญาชำระราคาด้วยเช็ค ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๙๙๑,๐๐๐ บาทผ่อนชำระงวดละ ๔๑,๒๖๔.๔๔ บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๕เป็นต้นไป โจทก์ได้นำอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทไปติดตั้งให้จำเลยที่ ๑ถึงที่ ๓ ที่โรงแรมคอนติเนนตัล ตามสัญญา แต่เรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ได้ ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ ๔ ได้ทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทในราคาเดิม โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงนามฝ่ายผู้ซื้อการชำระราคาแบ่งเป็น ๓๐ งวด บวกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี ในวันทำสัญญาผู้ซื้อได้ชำระราคาและดอกเบี้ยที่ค้างด้วยเช็คของจำเลยที่ ๔ รวม ๕ ฉบับ เป็นเงิน ๑๒๘,๑๙๒.๗๗ บาท โดยจำเลยที่ ๒ ลงนามผู้สั่งจ่าย ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๗ โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คได้ ๓ ฉบับรวมเป็นเงิน ๗๒,๕๖๕.๗๗ บาท คงเหลือค่าอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทค้างชำระ ๑,๑๘๖,๘๙๔.๒๓ บาท
ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๔ ไม่ได้เชิดจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยที่ ๔มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินกิจการโรงแรมแทนและมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ ๔ ในกิจการของโรงแรมได้การที่จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์โดยระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ ๔ ตามเอกสารหมาย จ.๗ แล้วจำเลยที่ ๒ ได้สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ ๔ ชำระราคาค่าอุปกรณ์โทรศัพท์และดอกเบี้ยบางส่วนตามสัญญาให้โจทก์ประกอบกันกับจำเลยที่ ๔ ก็ได้ใช้อุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ ๔ตลอดมา แสดงว่าจำเลยที่ ๔ ได้เช็คให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนเข้าทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทกับโจทก์ จำเลยที่ ๔ จึงต้องรับผิดในฐานะตัวการต้องชำระราคาอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
พิพากษายืน.

Share