แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 4 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการโรงแรมแทนและมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 4 ในกิจการของโรงแรมได้ ดังนี้การที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์ โดยระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 4 แล้วจำเลยที่ 2ได้สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 4 ชำระราคาค่าอุปกรณ์โทรศัพท์และดอกเบี้ยบางส่วนตามสัญญาให้โจทก์ ประกอบกับจำเลยที่ 4 ได้ใช้อุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 4 ตลอดมาแสดงว่าจำเลยที่ 4 ได้เชิด ให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนเข้าทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทกับโจทก์ จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดในฐานะตัวการต้องชำระราคาค่าอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทให้แก่โจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาค่าอุปกรณ์โทรศัพท์ที่จำเลยค้างชำระโจทก์เป็นเงิน 1,458,917 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2525จำเลยที่ 1 ในนามจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์กับโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกสัญญา หลังจากนั้นจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 เป็นเพียงผู้ดูแลโทรศัพท์พิพาทแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ขายโทรศัพท์พิพาทให้จำเลยที่ 4 ไปแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระค่าอุปกรณ์โทรศัพท์แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เคยซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรกทำในนามของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ครั้งที่สองซื้อในฐานะส่วนตัวของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่เคยซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทและไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 กระทำการแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ชำระเงินจำนวน 1,455,555.05บาทแก่โจทก์ กับดอกเบี้ย
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นเจ้าของโรงแรมคอนติเนนตัล เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2523 บริษัทเซฟเวย์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะประธานกรรมการได้ทำสัญญาเช่าโรงแรมดังกล่าวจากจำเลยที่ 4 มีกำหนด 10 ปีเมื่อเช่าแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ดำเนินกิจการของโรงแรมในนามจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการโรงแรม เมื่อวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2525 จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 กรรมการได้ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์ในราคา 1,191,000 บาทในวันทำสัญญาชำระราคาด้วยเช็ค 200,000 บาท ส่วนที่เหลือ 991,000บาท ผ่อนชำระงวดละ 41,264.44 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม2525 เป็นต้นไป โจทก์ได้นำอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทไปติดตั้งให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่โรงแรมคอนติเนนตัลตามสัญญา แต่เรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ได้ ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทในราคาเดิม โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามฝ่ายผู้ซื้อ การชำระราคาแบ่งเป็น 30 งวด บวกดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี ในวันทำสัญญาผู้ซื้อได้ชำระราคาและดอกเบี้ยที่ค้างด้วยเช็คของจำเลยที่ 4 รวม 5 ฉบับ เป็นเงิน 128,192.77บาท โดยจำเลยที่ 2 ลงนามผู้สั่งจ่าย ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.7 โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คได้ 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 72,565.77บาท คงเหลือค่าอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทค้างชำระ 1,186,894.23 บาท…
ส่วนที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้เชิดจำเลยที่ 2เป็นตัวแทนทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดนั้น… พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 4 ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยที่ 4 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการโรงแรมแทนและมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 4 ในกิจการของโรงแรมได้ การที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทจากโจทก์ โดยระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 4 ตามเอกสารหมาย จ.7แล้วจำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 4 ชำระราคาค่าอุปกรณ์โทรศัพท์และดอกเบี้ยบางส่วนตามสัญญาให้โจทก์ประกอบกันกับจำเลยที่ 4 ก็ได้ให้ใช้อุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 4 ตลอดมา แสดงว่า จำเลยที่ 4 ได้เชิดให้จำเลยที่ 2เป็นตัวแทนเข้าทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทกับโจทก์จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดในฐานะตัวการต้องชำระราคาค่าอุปกรณ์โทรศัพท์พิพาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์…”
พิพากษายืน.