แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไป โจทก์ได้หักเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้จากโจทก์เอาชำระหนี้บางส่วนแล้ว จึงขอให้ชำระเงินที่เหลือให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่ามิได้เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์หรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ส่งมอบคืนเงินของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์หักเอาไว้ชำระหนี้นั้นจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายเงินชดเชยให้จำเลยที่ 1 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) และคืนเงินที่จำเลยที่ 1ได้วางเป็นประกันกับโจทก์ก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานขายปลีกของโจทก์นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากโจทก์หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ 1 ได้วางเงินประกันไว้กับโจทก์หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้งส่วนนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อต้นเดือนมกราคม 2518 โจทก์ได้ตกลงรับจำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานส่งเสริมการขาย โดยจำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานของโจทก์ หากจำเลยที่ 1 กระทำการใด ๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ยินยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ภายในวงเงิน 10,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ในบริษัทโจทก์จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากงานไปเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2522 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2522 โจทก์ได้ตรวจสอบบัญชีสินค้าของโจทก์ในระยะเวลาระหว่างที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขายสินค้าของโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ขายสินค้าของโจทก์และรับชำระเงินค่าสินค้านั้นจากลูกค้าหลายครั้งแต่หาได้นำเงินนั้นส่งมอบแก่โจทก์ตามหน้าที่ไม่แต่ได้เบียดบังยักยอกเอาเป็นประโยชน์ส่วนตนเสียเป็นเงินประมาณ 98,576.41 บาท จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นความจริงและได้ทำหนังสือรับสารภาพไว้เป็นหลักฐานปรากฏต่อโจทก์ในเวลาต่อมาโดยการตรวจสอบอย่างละเอียด ปรากฏว่าจำนวนเงินค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกเอาไปมีเพียง 94,121.06 บาท โจทก์ได้หักเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสมที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้จากโจทก์จำนวน 37,429.81 บาท เอาชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกไปบางส่วน คงเหลือจำนวนที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 56,691.25 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องชำระให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันมีหน้าที่ต้องร่วมรับผิดชำระเงินให้โจทก์เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ จำเลยทั้งสองผิดนัดนับตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2522 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์เป็นต้นมา จำเลยทั้งสองต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระให้โจทก์นับตั้งแต่วันผิดนัดคิดถึงวันฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 750 บาท รวมเป็นเงิน 10,750 บาทกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหาย 46,691.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 3,500 บาท รวมเป็นเงิน 50,191.25 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไป จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งพนักงานขายสินค้าปลีกโดยถูกต้องตามระเบียบวิธีการของบริษัทโจทก์ตลอดมา บริษัทโจทก์ไม่มีสิทธิหักเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสมที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจากบริษัทโจทก์ 37,429.81 บาท ไปชำระหนี้ตามที่โจทก์ฟ้อง เพราะเงินจำนวนนี้เป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่ควรจะได้รับจนครบถ้วน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างประจำของบริษัทโจทก์มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2518 เงินเดือนครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1 ได้รับสุทธิ 2,659 บาท เมื่อบริษัทโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ออกจากงานโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 บริษัทโจทก์จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้จำเลยที่ 1 อีกไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) คิดเป็นเงินชดเชยที่จำเลยที่ 1 ต้องได้รับเท่ากับ 15,954 บาท นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้วางเงินจำนวน 20,000 บาทไว้กับบริษัทโจทก์เป็นประกันก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานขายปลีกของบริษัทโจทก์ตามที่บริษัทโจทก์เรียกให้วางอีกจำนวนหนึ่งด้วย รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจากบริษัทโจทก์73,383.81 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2523 อีก 5,503.79 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 78,887.60 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ทำผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดตามที่สัญญาไว้ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้พิพากษายกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ 1 จำนวน 78,887.60 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไป 94,121.06 บาท โจทก์ได้หักเงินเดือน เงินโบนัสและเงินสะสม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจากโจทก์รวม 37,429.81 บาท เอาชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกไป จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่ามิได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์เลย คดีจึงมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์หรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ส่งมอบคืนเงินของจำเลยที่ 1ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่าเป็นของจำเลยที่ 1 และโจทก์หักเอาไว้เป็นการชำระหนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์ยกขึ้นอ้างยึดเอาเงินที่โจทก์จะต้องจ่ายให้จำเลยที่ 1 ไว้เป็นการหักหนี้หรือไม่และเพียงใด ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาในคดีนี้
แต่ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่าโจทก์มีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้จำเลยที่ 1 อีกไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) คิดเป็นเงินชดเชยที่จำเลยที่ 1 ต้องได้รับเท่ากับ 15,954 บาท และจำเลยที่ 1 ได้วางเงินจำนวน 20,000 บาทไว้กับบริษัทโจทก์เป็นประกันก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานขายปลีกของบริษัทโจทก์ตามที่บริษัทโจทก์เรียกให้วาง ขอให้บังคับโจทก์ให้จ่ายเงินสองจำนวนนี้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าคดีตามฟ้องแย้งส่วนนี้เป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากโจทก์หรือไม่และเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ 1 ได้วางเงินประกันไว้กับบริษัทโจทก์หรือไม่และเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
พิพากษาแก้เป็นให้รับฟ้องแย้งที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจากโจทก์เป็นเงิน 37,429.81 บาท แก่จำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์