คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2476/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดิน น.ส.3ก่อนที่โจทก์จะรับซื้อฝาก จาก ส.เมื่อส. ไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดโจทก์จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองบ้านและที่ดินพิพาท การที่จำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ การที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่าง ส.กับโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไปอันเป็นการแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วในคดีดังกล่าวนั้นโจทก์ในฐานะจำเลยได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่จำเลย แม้ต่อมาศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้น ซึ่งเป็นผลทำให้ฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยจะตกไปด้วยผลของกฎหมายก็ตาม แต่จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแย้งด้วยหาได้ไม่ คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่ลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีก่อน และในคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2531 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องแย้งเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องเพื่อเอาคืน ซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์พร้อมบ้านตึก 2 ชั้น 1 หลัง โดยโจทก์ซื้อฝากมาจากนางสุภาพ แต่นางสุภาพไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด โจทก์บอกกล่าวให้นางสุภาพและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินดังกล่าว นางสุภาพยินยอมออกไปโดยดี คงเหลือจำเลยและบริวารที่ยังเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับตั้งแต่วันที่ 28ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์รับซื้อฝากจากนางสุภาพโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท เมื่อจำเลยทราบว่านางสุภาพนำไปขายฝากแก่โจทก์จำเลยจึงฟ้องโจทก์และนางสุภาพให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ทำขึ้นโดยไม่ชอบเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529 ซึ่งถือว่าจำเลยได้แสดงเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความบ้านและที่ดินพิพาทค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 300 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 25 หมู่ที่ 3ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 700 บาท นับตั้งแต่วันที่ 13มิถุนายน 2529 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้2 ข้อ คือ 1. จำเลยแย่งการครอบครอง (บ้านและที่ดินพิพาท) จากโจทก์แล้วหรือไม่และ 2. ค่าเสียหายมีเพียงใด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีตามประเด็นทั้งสองที่กำหนดไว้แล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์ เมื่อเดือนมีนาคม 2529 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 เกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์(ที่ถูกจำเลย) และสามีไม่ได้ขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสุภาพ จำเลยครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเพื่อตนเองมิใช่ครอบครองแทนโจทก์ โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ในปัญหาที่ว่า จำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วหรือไม่ นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทก่อนที่โจทก์จะรับซื้อฝากจากนางสุภาพ เมื่อนางสุภาพไม่ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนด โจทก์จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทการที่จำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์เมื่อปี 2529โจทก์มาขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านและที่ดินพิพาท แต่จำเลยไม่ยินยอมโดยบอกว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และต่อมาเมื่อวันที่ 30เมษายน 2529 จำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างนางสุภาพกับโจทก์ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1338/2529 ของศาลจังหวัดนครราชสีมาถือได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทในวันดังกล่าวโจทก์ในฐานะจำเลยได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2529 แต่คดีดังกล่าวศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน เนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดและมีคำสั่งต่อไปว่าเมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยหรือโจทก์ในคดีก่อนแล้วฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนจึงตกไปด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะที่เป็นโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์แม้ฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยจะตกไปด้วยก็เป็นไปโดยผลของกฎหมายจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแย้งด้วยหาได้ไม่ คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่ลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีก่อน และในคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2531 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องแย้งเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้วโจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับปัญหาเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าบ้านและที่ดินพิพาทหากนำไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,000 บาท แต่ขอคิดเพียงเดือนละ 1,500 บาทจำเลยไม่นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 700 บาท นับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2529 เหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแก้ไขเป็นอย่างอื่น ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share