แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยแบ่งขายที่ดิน ส.ค. 1 ให้แก่โจทก์โดยโจทก์ชำระเงินให้ในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่งส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็น 10 งวดโดยออกเป็นเช็ค 10 ฉบับ มอบให้จำเลยไว้มีข้อตกลงว่าหากโจทก์ไม่ไปจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดก็ยอมให้จำเลยริบเงินมัดจำถ้าจำเลยผิดสัญญายอมให้โจทก์ฟ้องบังคับและยอมใช้ค่าเสียหายต่อมานายอำเภอมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่าที่ดินที่โจทก์รับซื้อไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ให้โจทก์ระงับการปลูกสร้างบ้านในที่ดินดังกล่าวโจทก์จึงระงับการก่อสร้างและสั่งอายัดเช็คค่าที่ดินที่ค้างรวม 8 ฉบับ หลังจากนั้นโจทก์และจำเลยก็มิได้ฟ้องร้องว่ากล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายแต่อย่างใดการที่โจทก์สั่งอายัดเช็คเป็นการงดชำระราคาค่าที่พิพาทที่ยังเหลือรวม8 ฉบับ มิได้เรียกร้องหรือว่ากล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายหรือเรียกเงินมัดจำและเงินค่าที่ดินที่จำเลยได้รับตามเช็ค 2 ฉบับ คืนจากจำเลย คงปล่อยเวลาให้ล่วงไปถึง 6 ปี ฝ่ายจำเลยก็มิได้เรียกร้องหรือว่ากล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเช่นกันตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญากันแล้วโดยปริยายและไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องว่ากล่าวจำเลยว่ากระทำผิดสัญญา (อ้างคำพิพากษาฎีกาประชุมใหญ่ที่ 136/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค. 1ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แบ่งขายที่ดินแก่โจทก์เนื้อที่ 5 ไร่ จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่โจทก์กำลังก่อสร้างบ้าน ทางอำเภอได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ระงับการก่อสร้างโดยแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบว่าเป็นที่สาธารณะหรือไม่ โจทก์จึงระงับการก่อสร้างชั่วคราว ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของโจทก์โดยจำเลยทั้งสองแจ้งเท็จให้การเท็จและนำหลักฐานแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 และส่งมอบการครอบครองให้แล้ว ซึ่งความจริงไม่มีการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง หากจะมีก็เป็นการซื้อขายกันภายหลังจากจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้โจทก์แล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการสมรู้คบคิดกันฉ้อฉลโจทก์เพื่อจะโกงที่ดินโจทก์ขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 แบ่งขายให้จำเลยที่ 2 รวม2 ครั้ง จำเลยที่ 2 เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ให้จัดการออกโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน และได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาล จำเลยที่ 1ไม่ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์แต่ได้ขายที่ดินบริเวณอื่นให้โจทก์ โจทก์เข้าไปก่อสร้างบ้านโดยพลการ ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ซื้อจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ล้อมรั้วลวดหนามที่พิพาท โจทก์จึงหยุดก่อสร้าง โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินหลังจากจำเลยที่ 1 ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 หลายปี และโจทก์มิได้ชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามสัญญาและได้ทิ้งร้างสัญญาไป ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา และคู่กรณีเลิกสัญญากันแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เนื้อที่ 46 ไร่เศษ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2514จำเลยที่ 1 ได้แบ่งขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ให้แก่โจทก์เป็นเงิน40,000 บาท โจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ 1 ในวันทำสัญญา 10,000บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็น 10 งวด ๆ ละ 3,000 บาท โดยโจทก์ออกเช็ค 10 ฉบับ ๆ ละ 3,000 บาท มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ มีข้อตกลงว่าหากผู้จะซื้อไม่ไปทำสัญญาและจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดในสัญญายอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำ หากผู้จะขายผิดสัญญาไม่ไปทำสัญญาและจดทะเบียนขายตามกำหนด ยอมให้ผู้จะซื้อฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหาย และตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 และจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ทำนิติกรรมแทนได้ ต่อมานายอำเภอมีหนังสือลงวันที่ 8 พฤศจิกายน2514 ถึงโจทก์แจ้งว่าที่ดินที่โจทก์รับซื้อไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ผู้ใดจะเข้าครอบครองมิได้ ให้โจทก์ระงับการปลูกสร้างบ้าน โจทก์จึงระงับการก่อสร้างและสั่งอายัดเช็คที่สั่งจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เป็นค่าที่ดินที่ค้างอยู่รวม 8 ฉบับ หลังจากนั้นโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็มิได้ฟ้องร้องว่ากล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายแต่อย่างใด ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินทับที่พิพาทของโจทก์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2520 โจทก์จึงไปร้องคัดค้าน แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเมื่อโจทก์ได้รับหนังสือจากนายอำเภอให้ระงับการก่อสร้างบ้านในที่พิพาทแล้ว โจทก์สั่งอายัดเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 เป็นค่าที่พิพาทไปยังธนาคารให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คนั้น เป็นการงดชำระราคาที่พิพาทที่ยังเหลืออยู่รวม 8 ฉบับ มิได้เรียกร้องหรือว่ากล่าวให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายหรือเรียกเงินมัดจำ 10,000 บาท และเงินค่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ได้รับชำระตามเช็ค 2 ฉบับ เป็นเงิน6,000 บาท รวมเป็นเงิน 16,000 บาท คืนจากจำเลยที่ 1 คงปล่อยเวลาให้ล่วงไปถึงประมาณ 6 ปี ฝ่ายจำเลยที่ 1 ก็มิได้เรียกร้องหรือว่ากล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเช่นกัน จากนั้นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงจัดการขอออกโฉนดที่ดินและจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้เป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 2 เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญากันแล้วโดยปริยายและไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องว่ากล่าวจำเลยที่ 1 ว่ากระทำผิดสัญญาซึ่งเป็นผลให้ไม่มีสิทธิฟ้องร้องจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ด้วย
พิพากษายืน