แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองขับรถยนต์ชนกันโดยประมาททำให้ผู้โดยสารในรถถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาเมื่อศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองประมาท แต่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 หนักเกินไป เห็นควรแก้ไขให้เหมาะสม และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสองเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน และหลังเกิดเหตุฝ่ายจำเลยที่ 1 ได้นำเงินไปช่วยเป็นค่าปลงศพและค่ามนุษยธรรมแก่ฝ่ายผู้เสียหาย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาโดยกำหนดโทษให้เบาลงอีกไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองขับรถยนต์โดยประมาท ด้วยความเร็วสูง และต่างขับรถยนต์ล้ำกึ่งกลางถนนเข้าไปในทางเดินรถด้านขวามือของแต่ละฝ่าย ทำให้รถยนต์เฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับมาแล่นไปชนต้นไม้ข้างทาง ส่วนรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 ขับแล่นเลยไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ ซึ่งนางดาวเรืองขับอยู่ด้านหน้ารถยนต์ของจำเลยที่ 2 ล้มลงทำให้นางดาวเรือง ได้รับอันตรายแก่กาย และเป็นเหตุให้ผู้โดยสารรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับ ถึงแก่ความตาย 2 คน และมีผู้ได้รับอันตรายสาหัสและรับอันตรายแก่กาย 6 คน รถจักรยานยนต์กับรถยนต์ได้รับความเสียหาย ขอให้ ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4), 157
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 291 อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกสี่ล้อล้ำกึ่งกลางถนนเข้าไปในทางเดินรถยนต์บรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ 1ขับแล่นสวนมา ด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อจะแซงรถจักรยานยนต์ จึงถูกรถยนต์บรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ 1ขับสวนมาและแล่นล้ำเข้ามาในทางเดินรถของจำเลยที่ 2 ชน การที่จำเลยที่ 2 ขับรถในลักษณะการดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เมื่อรถเกิดชนกันเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส และบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย จำเลยที่ 2จึงมีความผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้นพิเคราะห์พฤติการณ์ต่าง ๆ แล้ว เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษหนักเกินไปเห็นควรแก้ไขให้เหมาะสม และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทของจำเลยทั้งสองเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน หลังเกิดเหตุฝ่ายจำเลยที่ 1ได้นำเงินไปช่วยเป็นค่าปลงศพและค่ามนุษยธรรมแก่ฝ่ายผู้เสียหายศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษา โดยกำหนดโทษให้เบาลงอีกไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2