แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
คำฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีละเมิดได้บรรยายค่าเสียหายไว้ตามบัญชีที่1กับรายการโฆษณาตามบัญชีที่3ท้ายฟ้องมีชื่อผู้เช่าและระบุวันเดือนปีที่ออกรายการรวมทั้งเงินค่าเช่าและจำนวนเงินที่ค้างชำระไว้ด้วยซึ่งก็ชัดแจ้งเพียงพอที่จำเลยที่3จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้แล้วส่วนรายละเอียดอื่นกับหลักฐานอันเป็นที่มาของรายการดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาคดีคำฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม. ตามระเบียบกระทรวงการคลังได้กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาเข้มงวดกวดขันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการหากละเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้พิจารณาความรับผิดทางแพ่งและพิจารณาโทษทางวินัยด้วยจำเลยที่2และที่3เป็นข้าราชการของโจทก์ในตำแหน่งรับผิดชอบควบคุมบังคับบัญชาการปฏิบัติงานของจำเลยที่1แต่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ควบคุมดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของจำเลยที่1ตามระเบียบของกระทรวงการคลังจนจำเลยที่1ทำละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์การกระทำของจำเลยที่2ที่3เข้าลักษณะประมาทเลินเล่อและมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ด้วยจำเลยที่2ที่3จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่แต่ละคนเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่1โดยถือว่าจำเลยทั้งสองก็มีส่วนทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420.
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข ฟ้อง ใจความ ว่า จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 เป็นข้าราชการ ของ โจทก์ จำเลย ที่ 1 ดำรง ตำแหน่ง นายสถานี วิทยุกระจายเสียง แห่ง ประเทศไทย จังหวัด นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ วันที่ 4กุมภาพันธ์ 2518 ถึง วันที่ 11 พฤษภาคม 2519 จำเลย ที่ 2 ดำรง ตำแหน่งหัวหน้ากอง ประชาสัมพันธ์ เขต สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ วันที่ 19 เมษายน2517 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2518 จำเลย ที่ 3 ดำรง ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ เขต 3 สุราษฎร์ะานี สืบ ต่อ จาก จำเลยที่ 2 จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ต่าง ทำ หน้าที่ เป็น ผู้บังคับบัญชา ของจำเลย ที่ 1 ตาม ระยะ เวลา ที่ ดำรง ตำแหน่ง มี หน้าที่ ควบคุม จำเลยที่ 1 ให้ ปฏิบัติ ตาม ระเบียบ แต่ บกพร่อง ปล่อยปละละเลย ไม่ ทำ การตรวจสอบ ควบคุม ดูแล การ ปฏิบัติ งาน ของ จำเลย ที่ 1 ให้ เป็น ไป ตามระเบียบ เป็น เหตุ ให้ จำเลย ที่ 1 ทำ การ ทุจริต เบียดบัง เอา เงินไป จำนวน 262,205 บาท จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ต้อง รับผิด ร่วมกับ จำเลยที่ 1 ขอ ให้ จำเลย ที่ 1 ชดใช้ เงิน ดังกล่าว แก่ โจทก์ โดย ให้ จำเลยที่ 2 ร่วม ชดใช้ เป็น เงิน 57,850 บาท และ ให้ จำเลย ที่ 3 ร่วม ชดใช้เป็น เงิน 204,355 บาท พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลย ที่ 1 ขาดนัด ยื่น คำให้การ และ ขาดนัด พิจารณา
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ให้การ ต่อสู้ คดี หลาย ประการ และ ปฏิเสธ ว่าไม่ มี หน้าที่ ต้อง รับผิด ร่วมกับ จำเลย ที่ 1 คดี โจทก์ ขาด อายุความแล้ว
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน รับผิดชำระเงิน 262,205 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ดครึ่ง ต่อปีนับ แต่ วัน ฟ้อง ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 2 ให้ ร่วม รับผิด เป็น เงิน 57,850 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ย จำเลย ที่ 3ให้ ร่วม รับผิด เป็น เงิน 204,355 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ย
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า คดี สำหรับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ขาดอายุความ ไม่ จำต้อง วินิจฉัย ประเด็น ข้ออื่น ต่อไป พิพากษา แก้ เป็นว่า ให้ ยกฟ้อง โจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ค่าฤชา ธรรมเนียมของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ทั้ง สอง ศาล ให้ เป็น พับ นอกจาก ที่ แก้ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา เห็น ว่า คดี โจทก์ ใน ส่วน ที่ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 2 ที่ 3ไม่ ขาด อายุความ ฟ้องร้อง พิพากษา ยก คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ใน ส่วนที่ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ให้ ศาลอุทธรณ์ พิจารณา พิพากษาใหม่ ตาม รูปคดี
ศาลอุทธรณ์ ได้ พิจารณาคดี ใหม่ แล้ว พิพากษา ยืน
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ที่ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา ว่า โจทก์ ไม่ มีอำนาจฟ้อง นั้น เมื่อ ปรากฏ ชัด ว่า โจทก์ เป็น กรม ใน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ ได้ แบ่ง ส่วนราชการ ใน ปี พ.ศ. 2518 มีศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต อยู่ 3 เขต จริง โจทก์ จึง เป็น กรม ใน รัฐบาลและ มี ฐานะ เป็น นิติบุคคล ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา72, 73 การ ฟ้อง คดี นี้ นาย กำจัด กีพานิช อธิบดีกรม โจทก์ ได้มอบอำนาจ ให้ นาย ดนัย ศรียาภัย ฟ้อง แทน ตาม เอกสาร หมาย จ.1 โจทก์ จึงมี อำนาจฟ้อง
ที่ จำเลย ที่ 3 ฎีกา ว่า ฟ้อง โจทก์ ใน ส่วน ที่ เกี่ยวกับ ค่าเสียหายเคลือบคลุม เห็น ว่า ค่าเสียหาย ตาม บัญชี 1 กับ รายการ โฆษณา ตาม บัญชี 3 ที่ แนบ ท้ายฟ้อง มี ชื่อ ผู้เช่า และ ระบุ วัน เดือน ปี ที่ ออกรายการ รวมทั้ง เงิน ค่าเช่า และ จำนวนเงิน ที่ ค้าง ชำระ ไว้ ด้วยซึ่ง ก็ ชัดแจ้ง เพียงพอ ที่ จำเลย ที่ 3 จะ เข้าใจ และ ต่อสู้ คดี ได้แล้ว ส่วน รายละเอียด อื่น กับ หลักฐาน อัน เป็น ที่ มา ของ รายการดังกล่าว เป็น เรื่อง ที่ โจทก์ จะ นำสืบ ใน ชั้น พิจารณาคดี คำฟ้องโจทก์ ใน ส่วน นี้ จึง ไม่ เคลือบคลุม
ส่วน จำเลย ที่ 2 ที่ 3 จะ ต้อง ร่วม รับผิด ชดใช้ ค่าเสียหาย แก่โจทก์ หรือไม่ เพียงใด นั้น ศาลฎีกา เห็น ว่า ตาม ระเบียบ ของ กระทรวงการคลัง ใน หนังสือ เอกสาร หมาย จ.34 ได้ กำหนด ให้ ผู้บังคับบัญชาเข้มงวด กวดขัน การ ปฏิบัติ งาน ของ เจ้าหน้าที่ การ เงิน และ บัญชี ให้เป็น ไป ตาม ระเบียบ แบบแผน ของ ทางราชการ หาก ละเลย ไม่ ปฏิบัติ ตามก็ ให้ พิจารณา ความ รับผิด ทาง แพ่ง และ พิจารณา โทษ ทาง วินัย ด้วยจำเลย ที่ 2 ได้ ปล่อยปละ ละเลย ไม่ เอาใจใส่ ควบคุม ดูแล และ ตรวจสอบการ ปฏิบัติ งาน ของ จำเลย ที่ 1 และ จำเลย ที่ 3 ได้ ปล่อยปละละเลยไม่ เอาใจใส่ ควบคุม ดูแล และ ตรวจสอบ การ ปฏิบัติ งาน ของ จำเลย ที่ 1 เช่นเดียว กัน การ กระทำ ของ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 เข้า ลักษณะ ประมาทเลินเล่อ และ มี ส่วน ก่อ ให้ เกิด ความเสียหาย แก่ โจทก์ ด้วย จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึง ต้อง ร่วม รับผิด ใน ความเสียหาย ที่ เกิดขึ้น ระหว่างที่ ตน เป็น ผู้บังคับบัญชา ของ จำเลย ที่ 1 ตาม ระเบียบ ของ กระทรวงการคลัง ใน หนังสือ เอกสาร หมาย จ.34 โดย ถือ ว่า จำเลย ทั้ง สอง ก็ มีส่วน ทำ ละเมิด ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จำเลย ที่ 2ได้ รับ แต่งตั้ง เป็น ผู้ช่วย ผู้อำนวยการ ศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต 3ตาม คำสั่ง เอกสาร หมาย จ.6 ตั้งแต่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2518 และ พ้นจาก ตำแหน่ง ดังกล่าว ใน เดือน ตุลาคม 2518 จึง ต้อง ร่วม รับผิด ในความเสียหาย ที่ เกิดขึ้น ใน ช่วง เวลา ดังกล่าว ตาม เอกสาร หมาย จ.35เป็น เงิน 57,850 บาท สำหรับ จำเลย ที่ 3 นั้น เดิม เป็น นายสถานี วิทยุโทรทัศน์ แห่ง ประเทศไทย จังหวัด สุราษฎร์ธานี และ โจทก์ ได้ แต่งตั้งให้ ปฏิบัติ หน้าที่ ราชการ ใน ตำแหน่ง ผู้ช่วย ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต 3 อีก หน้าที่ หนึ่ง ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน2518 ตาม คำสั่ง เอกสาร หมาย จ.3 แล้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต 3 จึง มอบอำนาจ ให้ จำเลย ที่ 3 รับผิด ชอบควบคุม บริหาร งาน สถานี วิทยุ โทรทัศน์ และ สถานี วิทยุ กระจายเสียงแห่ง ประเทศไทย 7 จังหวัด รวมทั้ง จังหวัด นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ วันที่ 11 ธันวาคม 2518 เป็นต้น ไป จำเลย ที่ 3 จึง ต้อง รับผิด ใน ความเสียหาย ที่ เกิดขึ้น ใน ช่วง เวลา ตั้งแต่ เดือน ธันวาคม 2518 เป็นต้นไป เท่านั้น จะ ให้ จำเลย ที่ 3 รับผิด ชดใช้ ค่าเสียหาย ตาม บัญชีเอกสาร หมาย จ.36 ทั้งหมด ไม่ ได้ จำเลย ที่ 3 คง จะ ต้อง ร่วม รับผิดชดใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ เป็น เงิน 147,017.88 บาท
พิพากษา แก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ที่ 3 ร่วม รับผิด เป็น เงิน147,017.88 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ดครึ่ง ต่อปี นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์