คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามฟ้องโจทก์ทั้งหกอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นพรรคการเมือง โจทก์ทั้งหกเป็นสมาชิกพรรคจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคได้จัดให้มีการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคทั่วประเทศเพื่อพิจารณาความเห็นในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของพรรคเสียใหม่ เมื่อมีการแก้ไขบังคับใหม่แล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคไม่ได้นำข้อบังคับใหม่ไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่กลับนำมาดำเนินการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทันทีในวันเดียวกันนั้น อันเป็นการนำข้อบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาใช้บังคับแก่สมาชิกพรรค การกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ทั้งหกและสมาชิกพรรคได้รับความเสียหายนั้นในข้อที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิทางศาลกรณีมีการอ้างว่าหัวหน้าพรรคการเมืองจัดให้พรรคการเมืองกระทำการใด ๆ ที่มิชอบนั้น พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะดำเนินการโดยเฉพาะ โดยตามมาตรา 34นายทะเบียนมีอำนาจเตือนเป็นหนังสือให้หัวหน้าพรรคการเมืองระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำเช่นนั้น และหากหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติ นายทะเบียนอาจยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลฎีกามีคำสั่งระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นหรือให้หัวหน้าพรรคการเมืองออกจากตำแหน่งได้ และตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 หากการกระทำรุนแรงถึงขนาด นายทะเบียนอาจแจ้งต่ออธิบดีกรมอัยการให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกามีคำสั่งยุบเลิกพรรคการเมืองเสียได้ หาได้มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 ที่บัญญัติให้สมาชิกพรรคการเมืองใช้สิทธิทางศาลไม่โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาให้ศาลวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคจำเลยที่ 1ตามข้อบังคับใหม่ปี 2530 เป็นโมฆะส่วนในข้อที่ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ทั้งหกตามกฎหมายแพ่งหรือไม่นั้น ตราบใดที่โจทก์ทั้งหกยังไม่ได้ถูกบังคับให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยอาศัยอำนาจจากการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคจำเลยที่ 1 ใหม่ สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ทั้งหกมีอยู่อย่างไรก็มีอยู่อย่างนั้น ข้ออ้างตามฟ้องที่ว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคจำเลยที่ 1 ดำเนินการประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคโดยมิชอบ จึงเป็นเรื่องของความขัดแย้งกันในทางความคิดเท่านั้น กรณียังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ทั้งหกตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลใช้ชื่อว่า”พรรคประชาธิปัตย์” จดทะเบียนตามกฎหมายพรรคการเมืองที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีกรรมการบริหารพรรค 45 คนมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการทางการเมือง ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าพรรค มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 และมีหน้าที่ดำเนินงานพรรคให้เป็นที่นิยมเลื่อมใสและศรัทธาต่อประชาชนทั่วไปและสมาชิกพรรคโจทก์ทั้งหกเป็นสมาชิกพรรคจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2530จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคได้จัดให้มีการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคของจำเลยที่ 1 ทั่วประเทศ ตามข้อบังคับเดิมที่ได้จดทะเบียนไว้ที่กระทรวงมหาดไทยเมื่อปี 2526 โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของพรรคจากข้อบังคับเดิมที่จดทะเบียนไว้แล้วไปเป็นข้อบังคับใหม่ โดยจำเลยที่ 2 เสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่สมาชิกและที่ประชุมใหญ่สมาชิกได้มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับพรรคได้ รายละเอียดข้อบังคับเก่าและข้อบังคับใหม่ปรากฏตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 และ 2ตามลำดับ จำเลยที่ 2 มีหน้าที่นำข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ให้เปลี่ยนแปลงและแก้ไขใหม่ไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยแต่จำเลยที่ 2 หาได้นำข้อบังคับใหม่ไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนแต่อย่างใดไม่ กลับนำข้อบังคับใหม่มาใช้ดำเนินการเพื่อเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทันทีในวันที่ 10 มกราคม 2530 โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้รับจดทะเบียนข้อบังคับใหม่ อันเป็นการนำข้อบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาใช้บังคับแก่สมาชิกพรรค การกระทำของจำเลยที่ 2 ในการดำเนินการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคตามข้อบังคับใหม่ดังกล่าวทำให้สมาชิกของพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วยต่อการดำเนินการของจำเลยที่ 2 และก่อให้เกิดความแตกแยกทางความคิดในบรรดาสมาชิกพรรค อันนำไปสู่ความข้ดแย้งจนเป็นเหตุให้ไม่เป็นที่ยอมรับการได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคของจำเลยที่ 2 ทำให้พรรคจำเลยที่ 1 เสื่อมความนิยมและเสื่อมศรัทธาจากประชาชนในทางการเมืองทำให้โจทก์ทั้งหกและสมาชิกอื่นของพรรคได้รับความเสียหาย โจทก์ทั้งหกและสมาชิกพรรคได้ร่วมกันยื่นหนังสือเรียกร้องให้จำเลยที่ 2ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อจัดการเลือกตั้งกรรมการบริหารใหม่ให้ถูกต้องตามข้อบังคับและตามกฎหมายพรรคการเมืองแต่จำเลยที่ 2 เพิกเฉย โจทก์ทั้งหกไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับได้ขอให้ศาลพิพากษาว่าการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค จำเลยที่ 1ในวันที่ 10 มกราคม 2530 ตามข้อบังคับใหม่ปี 2530 เป็นโมฆะ ให้มีคำสั่งให้กรรมการบริหารพรรคที่บริหารพรรคอยู่ในปี 2529 อันเป็นชุดสุดท้ายที่จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมาย จัดประชุมใหญ่สมาชิกเพื่อเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคใหม่
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้รับฟ้องของโจทก์ทั้งหกไว้พิจารณาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งหกมีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 บัญญัติว่า “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้”ตามฟ้องโจทก์ทั้งหกอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นพรรคการเมือง โจทก์ทั้งหกเป็นสมาชิกพรรคจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2530 จำเลยที่ 2ในฐานะหัวหน้าพรรคได้จัดให้มีการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคทั่วประเทศเพื่อพิจารณาความเห็นในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของพรรคเสียใหม่ เมื่อมีการแก้ไขบังคับใหม่แล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคไม่ได้นำข้อบังคับใหม่ไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่กลับนำข้อบังคับใหม่ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้นมาดำเนินการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทันทีในวันเดียวกันนั้น อันเป็นการนำข้อบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาใช้บังคับแก่สมาชิกพรรค การกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ทั้งหกและสมาชิกพรรคได้รับความเสียหายเห็นว่า ในข้อที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิทางศาลกรณีมีการอ้างว่าหัวหน้าพรรคการเมืองจัดให้พรรคการเมืองกระทำการใด ๆ ที่มิชอบนั้นพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะดำเนินการโดยเฉพาะ โดยตามมาตรา 34 หากเกิดกรณีดังกล่าวนายทะเบียนมีอำนาจเตือนเป็นหนังสือให้หัวหน้าพรรคการเมืองระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำเช่นนั้นและหากหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติ นายทะเบียนอาจยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลฎีกามีคำสั่งระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้น หรือให้หัวหน้าพรรคการเมืองออกจากตำแหน่งได้และตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 หากการกระทำดังกล่าวรุนแรงถึงขนาด นายทะเบียนอาจแจ้งต่ออธิบดีกรมอัยการให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกามีคำสั่งยุบเลิกพรรคการเมืองเสียได้ หาได้มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัติพรรคการเมืองพ.ศ. 2524 ที่บัญญัติให้สมาชิกพรรคการเมืองใช้สิทธิทางศาลไม่กรณีต่างกับบางเรื่องซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้บุคคลบางคนใช้สิทธิทางศาล เช่น การให้ผู้เลือกตั้ง ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 78 การให้กรรมการหรือผู้ถือหุ้นใช้สิทธิร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 และการให้สมาชิกใช้สิทธิร้องขอให้เพิกถอนมติของสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 100 เป็นต้น เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สมาชิกพรรคการเมืองใช้สิทธิทางศาลได้ในกรณีดังกล่าว ในฐานะสมาชิกพรรคจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะนำคดีมาให้ศาลวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคจำเลยที่ 1 ในวันที่ 10 มกราคม 2530ตามข้อบังคับใหม่ปี 2530 เป็นโมฆะ ส่วนในข้อที่ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ทั้งหกตามกฎหมายแพ่งหรือไม่นั้น เห็นว่า ตราบใดที่โจทก์ทั้งหกยังไม่ได้ถูกบังคับให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยอาศัยอำนาจจากการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคจำเลยที่ 1 ใหม่สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ทั้งหกมีอยู่อย่างไรก็มีอยู่อย่างนั้น ข้ออ้างตามฟ้องที่ว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคจำเลยที่ 1 ดำเนินการประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคโดยมิชอบ จึงเป็นเรื่องของความขัดแย้งกันในทางความคิดเท่านั้น กรณียังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ทั้งหกตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share