แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินเป็นของโจทก์โดยได้รับยกให้และครอบครองมา ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิ์ครอบครองและขับไล่จำเลย ทางพิจารณาฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นทายาทและได้ครอบครองร่วมกันมา ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์และจำเลยตามส่วนที่มีสิทธิ์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่มีโฉนด ๑ แปลง โดยบิดามารดาโจทก์ยกให้และโจทก์ครอบครองตลอดมา โจทก์ขอรังวัดออกโฉนดจำเลยทั้งสามคัดค้าน ต่อมาจำเลยที่ ๑ เข้ามาปลูกกระต๊อบในที่พิพาท โจทก์บอกให้รื้อจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิ์ครอบครองที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยที่ ๑ รื้อกระต๊อบออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดออกโฉนดของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่สามารถจะไปถอนคำคัดค้านได้ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมนายแจ้งบิดาโจทก์และเป็นบิดาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายคร้ามเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท ต่อมานายแจ้งถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายคร้ามจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ เมื่อนายคร้ามถึงแก่กรรมลง จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นบุตรได้เข้าครอบครองแทน โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปีแล้ว จึงไม่มีสิทธิ์ครอบครอง
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นมรดกของนายแจ้ง โจทก์และจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของนายแจ้งได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันมา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทเป็นมรดกของนายแจ้งตกได้แก่โจทก์และจำเลยทั้งสามและได้ครอบครองร่วมกันมา ขณะนายแจ้งตายมีทายาทเพียง ๔ คน คือโจทก์, จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายคร้าม ต่อมานายคร้ามตาย จำเลยที่ ๓ รับมรดกส่วนของนายคร้าม นายออและนางไอบุตรนายคร้ามมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องครอบครองที่พิพาท วินิจฉัยว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์และจำเลยทั้งสามไปเสียทีเดียว
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้แบ่งที่พิพาทเป็น ๔ ส่วน ให้โจทก์และจำเลยทั้งสามได้รับคนละ ๑ ส่วน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ประมูลที่พิพาทระหว่างกันเอง หากตกลงกันไม่ได้ ให้เอาที่พิพาทขายทอดตลาดแบ่งเงินกันตามส่วนที่มีสิทธิ์