แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่1ที่2และที่3จดทะเบียนซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทภายหลังจากที่ทราบว่าโจทก์เคยขออายัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ขอแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วเช่นนี้จำเลยทั้งสามจะอ้างว่าจดทะเบียนซื้อขายกันโดยสุจริตมิได้และการที่จำเลยที่1นำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปขายโดยพลการโดยปราศจากอำนาจโดยโจทก์มิได้พอใจในราคาที่ขายย่อมทำให้โจทก์เสียเปรียบอยู่ในตัว โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 18859พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสามไปแก้ไขทะเบียนโฉนดที่ดินให้เป็นเช่นเดิมเสมือนหนึ่งว่าไม่มีการซื้อขาย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ตกลงขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดี จำเลยทั้งสามไม่ได้ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามราคาทั่วไป โดยสุจริต เปิดเผยและเสียค่าธรรมเนียมถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ทราบว่าการซื้อขายทรัพย์พิพาทจะทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเสียเปรียบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดเลขที่ 18859 ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทรายจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตคำเบิกความของนางพิมพรรณ บุญสุวรรณ เจ้าพนักงานที่ดินพยานโจทก์ที่ว่า “ตอนที่มีการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทนั้น พยานแจ้งเรื่องให้คู่สัญญาทั้งสองทราบและคู่สัญญาลงชื่อรับทราบการแจ้งไว้ด้วย แต่คู่สัญญายังคงยืนยันจะซื้อขายกัน” คำว่า “ตอน” หมายถึงขณะหรือหลังการซื้อขาย มิใช่ก่อนการซื้อขาย จำเลยที่ 2 และที่ 3รับทราบว่า โจทก์เคยอายัดภายหลังซื้อขายแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อรับทราบการแจ้งขออายัดของโจทก์ดังที่นางพิมพรรณเบิกความ คำเบิกความของนางพิมพรรณไม่น่าเชื่อถือ รับฟังไม่ได้นิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะโจทก์สามารถติดตามขอแบ่งเงินจากจำเลยที่ 1 ได้นั้น ศาลฎีกาอ่านคำเบิกความของนางพิมพรรณโดยครบถ้วนแล้ว เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่างยืนยันจะจดทะเบียนซื้อขายกันภายหลังทราบข้อความตามที่นางพิมพรรณแจ้งแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลังจากถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1969/2532 ของศาลชั้นต้นแล้ว และยังปรากฏตามบันทึกของนางพิมพรรณ ท้ายหนังสือสัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงชื่อรับทราบไว้ว่า นอกจากได้แจ้งเรื่องที่เคยมีผู้ขออายัดให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบแล้ว ยังได้แจ้งให้ทราบด้วยว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เป็นคดีดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม2532 ด้วย เช่นนี้จำเลยทั้งสามจึงจะมาอ้างว่าจดทะเบียนซื้อขายกันโดยสุจริตมิได้ ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์มิได้เสียเปรียบเพราะโจทก์สามารถไปขอแบ่งเงินที่ขายที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1ได้นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ยินยอมหรือรู้เห็นการตกลงขายที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปขายโดยพลการโดยปราศจากอำนาจ โดยโจทก์มิได้พอใจในราคาที่ขาย โจทก์ย่อมเสียเปรียบอยู่ในตัว ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสามข้อต่อไปที่ว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแขวงเชียงใหม่ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นคดีอาญาในข้อหาโกงเจ้าหนี้ ศาลแขวงเชียงใหม่พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 3 โดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 สุจริตไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 โกงเจ้าหนี้ คดีถึงที่สุด ในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญานั้นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการโดยสุจริตนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน