คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางหลวงที่จะสร้างตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายเชื่อมถนนสุขุมวิท 39 (พร้อมพงษ์) กับถนนเพชรบุรี พ.ศ.2524 เป็นทางหลวงเทศบาลอันเป็นเรื่องที่อยู่ในกิจการของกรุงเทพมหานครจำเลยจะต้องดำเนินการ แต่จำเลยเป็นนิติบุคคลการดำเนินการต่าง ๆ จึงต้องดำเนินการโดยผู้แทนทั้งหลายของจำเลย ดังนั้น การที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือบทกฎหมายกำหนดอำนาจไว้ให้เป็นของเจ้าหน้าที่ก็ดีนั้นก็เป็นการกำหนดตัวบุคคลผู้จะต้องปฏิบัติแทนนิติบุคคลนั้นในฐานะผู้แทนทั้งหลาย ในเมื่อการกระทำของผู้แทนทั้งหลายของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยตรง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๘,๑๙๑,๗๒๗ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๖,๓๓๑,๗๗๕ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปและชำระเงินจำนวน ๓๒๑,๗๒๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนี้ นับแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายเชื่อมถนนสุขุมวิท ๓๙ (พร้อมพงษ์) กับถนนเพชรบุรี พ.ศ.๒๕๒๔ ได้บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ คือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ มิได้บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลย ซึ่งอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในส่วนที่เกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เป็นอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ฉะนั้นการดำเนินการของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จึงถือมิได้ว่ากระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยตามกฎหมาย นอกจากนี้ในการพิจารณาทำความตกลงเรื่องค่าทดแทน การกำหนดค่าทดแทนและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนได้กระทำในรูปของคณะกรรมการดำเนินการตัดถนนทางหลวงเทศบาล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ถือมิได้ว่าจำเลยได้กระทำอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓,๒๓๓,๔๙๕ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระเสร็จ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันนั้นได้ความว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงเทศบาลสายเชื่อมถนนสุขุมวิท ๓๙ (พร้อมพงษ์) กับถนนเพชรบุรีมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๔ ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ถูกเวนคืนเพื่อการสร้างถนนสายดังกล่าวทั้งสองแปลงนั้นด้านหนึ่งติดถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แปลงโฉนดที่ ๑๖๑๙๒ มีเนื้อที่๘ ไร่ ๒ งาน ๔ ตารางวา ถูกเวนคืน ๕๕๖ ตารางวา แปลงโฉนดที่ ๑๖๑๙๖ เนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน๑๕ ตารางวา ถูกเวนคืน ๔ ตารางวา คณะกรรมการพิจารณาทำความตกลงเรื่องทดแทนที่ถูกเวนคืนดังกล่าวเป็นเงิน ๕,๑๐๖,๕๐๕ บาท แต่เจ้าของที่ดินไม่ยินยอม จำเลยจึงนำเงินค่าทดแทนจำนวนดังกล่าวไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี ในเรื่องเงินค่าทดแทนนั้นโจทก์นำสืบว่า จำเลยกำหนดให้ไม่เป็นธรรม เพราะที่ดินที่ถูกเวนคืนนั้น ในขณะที่ถูกเวนคืนมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าตารางวาละ ๒๑,๐๐๐ บาท การที่มีถนนตัดผ่านที่ดินที่โจทก์ฟ้องนั้นไม่ทำให้โจทก์ได้ประโยชน์จากการที่ถนนตัดผ่านเพราะทำให้ที่ดินสองแปลงติดกันแยกออกเป็นสองส่วนใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างได้ไม่เต็มที่…
ปัญหาข้อแรกที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ในปัญหานี้จำเลยอ้างว่า ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่พิพาทกำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการ และตามบทกฎหมายที่เกี่ยวกับการเวนคืนเพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง ก็บัญญัติให้อำนาจหน้าที่เกื่ยวกับการเวนคืนเป็นของเจ้าหน้าที่ จำเลยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ทางหลวงที่จะสร้างตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าาวนั้นเป็นการสร้างทางหลวงเทศบาล อันเป็นเรื่องที่อยู่ในกิจการของกรุงเทพมหานครจำเลยจะต้องดำเนินการแต่จำเลยเป็นนิติบุคคล การดำเนินการต่าง ๆ จึงต้องดำเนินการโดยผู้แทนทั้งหลายของจำเลยดังนั้นการที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือบทกฎหมายกำหนดอำนาจไว้เป็นของเจ้าหน้าที่ก็ดีนั้น ก็เป็นการกำหนดตัวบุคคลผู้จะต้องปฏิบัติแทนนิติบุคคลนั้นในฐานะผู้แทนทั้งหลาย ในเมื่อการกระทำของผู้แทนทั้งหลายของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยตรง จำเลยจะอ้างว่าไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วยนั้นไม่ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share